หัวข้อที่น่าสนใจ
- บอกต่อการ ตั้งชื่อร้าน เรียกทั้งลูกค้า เรียกทั้งเงิน !
- 1. พื้นฐานชื่อร้านต้อง “อ่านง่าย”
- 2. ซ่อนไว้ด้วย “ความหมายดี”
- 3. มีความ “เป็นมงคล” ถูกหลักเลขศาสตร์
- 4. ไม่ลืมความโดดเด่น “สะดุดหู” ไม่เจาะจงสินค้า/บริการ เกินไป
- 5. มีเอกลักษณ์แตกต่าง ไม่เหมือนใคร
- 6. เลี่ยงไว้ “ไม่มีชื่อสถานที่” ให้มาเกี่ยว
- 7. หมดยุคใช้ชื่อเจ้าของมาตั้งชื่อร้านแล้ว
- 8. อย่าลืมนึกถึงตอนทำโลโก้ร้านด้วย
หากคุณเป็นอีกหนึ่งคนที่มีไอเดียธุรกิจและวาดฝันว่าจะลงทุนทำธุรกิจ มีร้านสักร้านเป็นของตัวเอง ที่ขายสินค้าหรือบริการตามที่ชอบ ถึงวันนี้ที่ฝันของคุณกลายเป็นจริง แต่ติดที่ว่ายังคิดไม่ออกเรื่องการ ตั้งชื่อร้าน ชื่อเท่ ๆ แต่เสริมดวงปัง ๆ ใครได้ฟังก็พร้อมดึงดูดลูกค้าในทันที เราพร้อมช่วยคุณเพราะ มิสเตอร์ คุ้มค่า ได้รวบรวม “ทริคตั้งชื่อร้าน” มาบอกต่อคุณในบทความนี้ รับรองเลยว่าเงินทองไหลมาเทมา ลูกค้าเข้าร้านไม่ขาดสายแน่นอน ! ไปคิดชื่อกันเลย
บอกต่อการ ตั้งชื่อร้าน เรียกทั้งลูกค้า เรียกทั้งเงิน !
การตั้งชื่อร้านที่ดี นอกจากจะต้องมีความหมายในเชิงบวก และน่าจดจำแล้ว ยังจะต้อง “แตกต่าง” และ “โดดเด่น” จากคู่แข่งด้วย ยิ่งถ้าหากต้องการเสริมดวง เสริมความมงคลตั้งแต่ “ชื่อร้าน” ด้วยแล้วล่ะก็ ยิ่งต้องดู “ทริค” ที่เรากำลังจะบอกต่อให้ดีเลยล่ะ
1. พื้นฐานชื่อร้านต้อง “อ่านง่าย”
ทริคแรกของการตั้งชื่อร้านก็คือ “ต้องอ่านง่าย” เรียบง่าย สะกดง่าย และจะต้องเลือกใช้ตัวอักษรที่ไม่อ่านยากจนเกินไป ไม่สร้างความจำที่ “น่าสับสน” ให้กับลูกค้า เพราะลูกค้าจะรู้สึกว่าเข้าถึงยาก แถมบางกลุ่มยังไม่สามารถจดจำร้านของคุณได้อีกด้วย นอกจากนี้ยังจะต้องเป็นชื่อที่สั้น จำง่าย และไม่ควรมีอักษรย่อ แนะนำว่าให้มีความยาวประมาณ 3-5 พยางค์ กระชับ และง่ายต่อการจดจำ ตัวอย่าง ธุรกิจที่ประสบความสำเร็จ เช่น After You, สุกี้ตี๋น้อย, คอปเปอร์ เป็นต้น
2. ซ่อนไว้ด้วย “ความหมายดี”
ความหมายที่ดีหรือความหมายเชิงบวก จะสามารถ “แสดงจุดยืน” และสร้างความน่าเชื่อถือได้เป็นอย่างดี ช่วยดึงดูดลูกค้าให้เลือกซื้อสินค้า/บริการ และตัดสินใจซื้อในที่สุด เช่น ร้านเสริมสวย RealtyBonnie ที่นำเอาความหมายดี ๆ มาเรียงต่อกัน โดยคำว่า Realty มาจากคำว่า Real ที่แปลว่าโดยแท้, แท้จริง และคำว่า Bonnie ที่แปลว่าสวย, น่ารัก เมื่อนำมารวมกันก็จะได้ความหมายว่า “ความสวยที่แท้จริง”
3. มีความ “เป็นมงคล” ถูกหลักเลขศาสตร์
หากคุณเป็น “สายมู” ตัวยง บอกเลยว่าห้ามมองข้ามทริคข้อนี้เด็ดขาด ! ซึ่งการตั้งชื่อร้านให้เป็นมงคลจะมีการ “วิเคราะห์ผ่านหลักเลขศาสตร์” โดยเป็นการนำเอาตัวอักษร สระ วรรณยุกต์ภาษาไทยและภาษาอังกฤษมาถอดเป็นเลข 9 ตัว ผลรวมของตัวเลขอยู่ในกลุ่มเลขศาสตร์ที่เป็นมงคล เพื่อช่วยเสริมดวงชะตากิจการให้เจริญก้าวหน้า ร่ำรวย และประสบความสำเร็จ
ยกตัวอย่าง ธุรกิจที่ประสบความสำเร็จ ร้าน BEARHOUSE เมื่อถอดเป็นเลขตามหลักเลขศาสตร์ จะได้เป็นเลข 36 ซึ่งถือว่าเป็นเลขที่ดีมาก ๆ หมายความว่าบุคคลที่ตกอยู่ใต้อิทธิพลของเลขนี้ ชีวิตจะประสบความสำเร็จ มีมิตรสหายมาก และมีคนอุปถัมภ์ไม่ตกอับ
4. ไม่ลืมความโดดเด่น “สะดุดหู” ไม่เจาะจงสินค้า/บริการ เกินไป
การที่ชื่อร้านโดดเด่น สะดุดหู จะสามารถดึงดูดความสนใจของลูกค้าได้เป็นอย่างดี และการที่ตั้งชื่อร้านแบบไม่เจาะจงสินค้า/บริการมากเกินไป ยังทำให้สามารถต่อยอดในการขายสินค้าและบริการอื่น ๆ ได้ในอนาคต ไม่ต้องเสียเวลาเปลี่ยนชื่อร้านใหม่ ซึ่งอาจทำให้ลูกค้าเกิดความสับสนได้ง่าย
5. มีเอกลักษณ์แตกต่าง ไม่เหมือนใคร
การตั้งชื่อร้านที่เหมือนหรือคล้ายกับ จะทำให้ลูกค้าเกิดความเข้าใจผิดได้ เพราะนอกจากจะเกิดความสับสนแล้ว อาจทำให้มีปัญหาตามมาในภายหลัง แนะนำให้หาข้อมูลอย่างถี่ถ้วนก่อนว่า ชื่อร้านที่คุณสนใจมีใครใช้ไปแล้วหรือยัง และจะต้องไม่ใช่ชื่อร้านที่คล้ายกับชื่อร้านอื่นอีกด้วย
6. เลี่ยงไว้ “ไม่มีชื่อสถานที่” ให้มาเกี่ยว
หลายคนมักมองว่าการสร้างภาพจำด้วย “สถานที่” มักเป็นตัวเลือกที่ดี แต่ในความเป็นจริงแล้วเป็นการสร้างภาพจำที่ไม่ควรมาก ๆ เพราะอาจเป็น “ข้อจำกัด” ในอนาคตได้ โดยเฉพาะคนที่คิดจะขยายสาขาไปยังพื้นที่อื่น ๆ อาจทำให้ลูกค้าสับสนว่าร้านของคุณตั้งอยู่ที่ไหนกันแน่
7. หมดยุคใช้ชื่อเจ้าของมาตั้งชื่อร้านแล้ว
ชื่อเจ้าของธุรกิจ แม้ว่าจะช่วยให้ลูกค้ารู้ว่า “เจ้าของคือใคร” แต่ในอนาคตหากมีหุ้นส่วนร่วมด้วย อาจทำให้เกิดความขัดแย้งภายในได้ แถมยังเป็นชื่อที่ไม่ได้สร้างความน่าดึงดูดใจต่อลูกค้าอีกด้วย
8. อย่าลืมนึกถึงตอนทำโลโก้ร้านด้วย
มีชื่อร้านก็ต้องมีโลโก้ เพราะฉะนั้นอย่าคิดตั้งชื่อร้านที่แปลกหรือแหวกแนวจนเกินไป เพราะไม่อย่างนั้นโลโก้ร้านของคุณก็อาจจะออกมาพิลึกได้ เพราะชื่อร้านและโลโก้จะต้องมีความสอดคล้องกัน เนื่องจากเป็น “หน้าตาส่วนแรกของร้านทั้งคู่”
หลังจากที่ได้ทำความเข้าใจทริคการตั้งชื่อร้านที่เหมาะสมเรียบร้อยแล้ว อย่าลืมดู “ฤกษ์เปิดร้าน” ให้ดีด้วย เนื่องจากเป็นการ “ปูทาง” ให้เรื่องดี ๆ เข้ามาได้ง่ายขึ้น กิจการไม่ติดขัด ราบรื่น ซึ่งจะต้องเป็นวันที่ฤกษ์งามยามดี ฤกษ์มงคล เหมาะสม และเป็นวันที่เจ้าของสะดวกด้วย แต่ถ้าคุณไม่ใช่สายมูจะเน้นฤกษ์สะดวกอย่างเดียวก็ไม่ว่ากัน
หลายคนมักคิดว่าการตั้งชื่อร้านเป็นเรื่องง่าย แค่ตั้งให้แปลก ขายอะไรก็ตั้งชื่อแบบนั้น ฯลฯ แต่จากทริคที่เรารวบรวมมาบอกต่อ เห็นแล้วใช่ไหมว่า “ไม่ง่ายเลย” แถมชุดความคิดดั้งเดิมของคุณก็เป็นความคิดที่ผิดอีกด้วย ดังนั้นพยายามทำความเข้าใจทริคการตั้งชื่อร้านให้ดี และพยายามสร้างสรรค์ชื่อร้านให้แตกต่างอย่างโดดเด่น เพียงเท่านี้ก็จะช่วยให้ลูกค้าไม่สับสน และจดจำในตราสินค้าและบริการของคุณได้แล้วล่ะ