หนึ่งในเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นบ่อย ๆ คือ “เติมน้ำมันผิด” ซึ่งถือเป็นอีกหนึ่งเหตุการณ์ที่อาจนำไปสู่ความเสียหายสุดระทึกได้ นอกจากนี้หลายคนยังเกิดความสงสัยว่า เติมน้ํามันผิด ประกันรับผิดชอบไหม จะต้องรับมือหรือป้องกันยังไง MrKumka รวบรวมคำตอบมาให้เรียบร้อยแล้ว ทำความเข้าใจเพิ่มเติมเพื่อเตรียมรับมือกับเหตุไม่คาดฝันกันเลยดีกว่า
ไขข้อสงสัย เติมน้ํามันผิดประเภท ประกันรับผิดชอบไหม ?
เพื่อคลายความกังวลให้กับเจ้าของรถ ผู้เอาประกัน หรือใครก็ตาม เราขอตอบคำถามก่อนว่าหากเติมน้ำมันผิด ประกันชั้น 1 จะได้รับความคุ้มครองจากบริษัทประกันภัย เนื่องจากการเติมน้ำมันผิดเป็นชนวนเหตุที่ก่อให้เกิดความเสียหายต่อรถยนต์นั่นเอง
วิธีการเคลมประกันทำได้ไม่ยาก เมื่อคุณรู้ว่าเกิดเหตุการณ์ดังกล่าวขึ้น ให้ติดต่อบริษัทประกันทันทีเพื่อให้เจ้าหน้าที่ของบริษัทเดินทางมาเช็ก/ตรวจสอบความเสียหายเบื้องต้น
นอกจากนี้ยังไม่ควรตกลงเงื่อนไขใด ๆ กับทางปั๊มน้ำมันเด็ดขาด ไม่อย่างนั้นจะถือว่าคุณทำผิดหลักสุจริตใจ รวมถึงกรณีแจ้งบริษัทประกันล่าช้าด้วย หากเป็นแบบนั้นบริษัทอาจไม่รับเคลม หรือปัดความรับผิดชอบได้ เพราะถือว่าไม่ปฏิบัติตามเงื่อนไขบริษัทประกันนั่นเอง
รถเติมน้ำมันผิดจะเกิดอะไรขึ้นกับเครื่องยนต์ ?
เมื่อเติมน้ำมันรถยนต์ผิดประเภท แน่นอนว่าสร้างความเสียหายให้กับรถยนต์หลายส่วน ไม่ว่าจะเป็นหัวเทียน ไส้กรอง และระบบเครื่องยนต์ อาจทำให้รถสตาร์ทไม่ติด หรือถ้าหากติดก็จะทำให้เครื่องยนต์สะดุดและดับ เนื่องจากการเผาไหม้ของน้ำมันเบนซินและดีเซลไม่เท่ากัน เมื่อเติมน้ำมันเข้าไปผิดประเภทจะทำให้การเผาไหม้เครื่องยนต์ทำงานต่อไม่ได้นั่นเอง
วิธีแก้ไข เมื่อเติมน้ำมันผิดประเภท
กรณีเติมน้ำมันผิดไปแล้ว มีวิธีแก้ไขโดยแบ่งออกเป็น 2 กรณี คือ รู้ก่อนสตาร์ทเครื่องยนต์ และรู้หลังสตาร์ทเครื่องยนต์ โดยทั้ง 2 กรณี มีวิธีการแก้ไขดังต่อไปนี้
รู้ก่อนสตาร์ทเครื่องยนต์
- สิ่งที่ไม่ควรทำเลยเมื่อรู้ตัวว่าเติมน้ำมันผิด คือ สตาร์ทรถ เพราะทันทีที่สตาร์ทน้ำมันที่ถูกเติมเข้าไปผิด จะถูกปั๊มดูดเข้าไปในระบบน้ำมันเชื้อเพลิงทันที
- แจ้งกับทางพนักงานปั๊มให้ติดต่อช่างมาดูดน้ำมันออกจากถังให้หมด
- เติมน้ำมันที่ถูกต้องลงไปในถัง ในปริมาณที่พอจะสตาร์รถติด หรือประมาณ 5-10 ลิตร
- ทำการสตาร์ทเครื่องยนต์ พร้อมกับปล่อยให้เครื่องยนต์ทำงานที่รอบเดินเบา ประมาณ 850+/-50 รอบต่อนาที โดยห้ามเร่งรอบเครื่องยนต์เด็ดขาด
- สังเกตที่ไฟเตือนต่าง ๆ บนหน้าปัด ว่ามีไฟใด ๆ ติดขึ้นมาหรือไม่ หากไม่มีถือว่าปกติ
- เปิดสวิตช์อุปกรณ์ต่าง ๆ เช่น แอร์ ไฟ หรือหมุนพวงมาลัยขวาสุด-ซ้ายสุด พร้อมกับสังเกตอาการเครื่องยนต์ว่ามีอาการสั่น สะดุด หรือมีแนวโน้มว่าจะดับมั้ย
- เปลี่ยนเกียร์ไปที่ตำแหน่ง D หรือเหยียบคลัตช์เข้าเกียร์ 1 (เกียร์ธรรมดา) พร้อมกับเหยียบคันเร่งให้รถเคลื่อนที่
- ขับรถที่ความเร็วรอบต่ำสักระยะหนึ่งก่อน จากนั้นรอจนกว่าเครื่องยนต์จะทำงานเป็นปกติ แล้วค่อยเพิ่มความเร็วรอบของเครื่องยนต์
รู้หลังสตาร์ทเครื่องยนต์
- หลังจากสตาร์ทเครื่องยนต์ไปแล้ว และเพิ่งรู้ตัวว่าเติมน้ำมันผิดประเภท ให้ดับเครื่องยนต์ทันที
- แจ้งพนักงานปั๊มให้ติดต่อช่างมาดูดน้ำมันออกจากถังให้หมด
- ถอดและเปลี่ยนไส้กรองน้ำมันเชื้อเพลิงลูกใหม่
- ถอดหัวฉีด (ดีเซีลหรือเบนซิน) และหัวเทียน (เบนซิน) แล้วทำการล้างทำความสะอาดหรือเปลี่ยนใหม่
- ถอดปั๊มหัวฉีดเครื่องยนต์ดีเซลส่งไปร้าน เพื่อทำการเทสปั๊มหัวฉีดดีเซล
- ถอดฝาสูบเครื่องยนต์ เพื่อเช็กความบิดเบี้ยว (ฝาโก่ง) ก้านวาล์วไอดี-ก้านวาล์วไอเสียว่าคดหรือไม่
- จากนั้นให้ประกอบทุกอย่างกลับไปที่เดิม พร้อมกับเติมน้ำมันประมาณ 5-10 ลิตร
- สตาร์ทเครื่องยนต์จนติด แล้วบ่อยให้เครื่องยนต์ทำงานที่รอบเดินเบา ประมาณ 850+/-50 รอบต่อนาที โดยห้ามเร่งรอบเครื่องยนต์เด็ดขาด
- สังเกตที่ไฟเตือนต่าง ๆ บนหน้าปัด ว่ามีไฟใด ๆ ติดขึ้นมาหรือไม่ หากไม่มีถือว่าปกติ
- เปิดสวิตช์อุปกรณ์ต่าง ๆ เช่น แอร์ ไฟ หรือหมุนพวงมาลัยขวาสุด-ซ้ายสุด พร้อมกับสังเกตอาการเครื่องยนต์ว่ามีอาการสั่น สะดุด หรือมีแนวโน้มว่าจะดับมั้ย
- เปลี่ยนเกียร์ไปที่ตำแหน่ง D หรือเหยียบคลัตช์เข้าเกียร์ 1 (เกียร์ธรรมดา) พร้อมกับเหยียบคันเร่งให้รถเคลื่อนที่
- ขับรถที่ความเร็วรอบต่ำสักระยะหนึ่งก่อน จากนั้นรอจนกว่าเครื่องยนต์จะทำงานเป็นปกติ แล้วค่อยเพิ่มความเร็วรอบของเครื่องยนต์
วิธีป้องกัน ไม่ให้เกิดเหตุการณ์เติมน้ำมันผิดประเภท
จริง ๆ แล้วปัญหาเรื่องการเติมน้ำมันผิด ถือเป็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นได้ ไม่ว่าจะด้วยความเบลอ ความพลาดของเจ้าของรถ หรือพนักงานปั๊มน้ำมัน ดังนั้นเพื่อป้องกันไม่ให้รถยนต์/เครื่องยนต์เกิดความเสียหาย แนะนำให้แจ้งให้ชัดเจนว่าต้องการเติมน้ำมันประเภทไหน รวมถึงขอใบเสร็จทุกครั้งที่เข้าใจบริการ เพื่อตรวจเช็กรายละเอียดของน้ำมันที่เติมเข้าไป
แม้ว่าในปัจจุบันจะมีน้ำมันเชื้อเพลิงเพียงแค่ 2 ประเภท แต่ก็อาจเกิดเหตุการณ์ไม่คาดฝันขึ้นได้ เพราะแต่ละประเภทยังแบ่งแยกย่อยได้มากมาย อย่างที่หลายคนนิยมเรียกกันจนติดปากว่า แก๊สโซฮอล์ 95, E20, B20 หรืออื่น ๆ ที่มักเอ่ยปากออกไปทุกครั้ง นั่นแหละคือ “ชื่อย่อย” ของน้ำมันประเภทต่าง ๆ เพื่อป้องกันปัญหาและความเสียหายที่จะเกิดขึ้น นอกจากนี้อย่าลืมแจ้งบริษัทประกันทันที เพื่อป้องกันการเสียผลประโยชน์ในการแจ้งเคลม