น้ำท่วมถนนระดับไหน ไม่ควรขับต่อ แล้วน้ำท่วมรถ ประกันจ่ายไหม ?

แชร์ต่อ
น้ำท่วมถนนระดับไหน ไม่ควรขับต่อ แล้วน้ำท่วมรถ ประกันจ่ายไหม ? | มิสเตอร์ คุ้มค่า

หัวข้อที่น่าสนใจ

หน้าฝน ตกหนัก ถนนน้ำขังรอระบายและกับหนึ่งเหตุการณ์ที่เป็นอันตรายต่อรถยนต์ ควบคุมได้ยากและไม่มีใครอยากเจอคือ สถานการณ์น้ำท่วมสูง แม้ว่ารถยนต์ทั่ว ๆ ไปจะสามารถขับลุยน้ำได้ แต่ก็มีระดับน้ำ “ที่ไม่ควรฝืนขับต่อ” เพราะถ้าหากรถน้ำท่วมหรือน้ำเข้ารถ อาจทำให้เจอปัญหาอื่น ๆ ตามมาได้ในการใช้งานภายหลัง โดยเฉพาะในเรื่องความคุ้มครองของประกันรถยนต์

ถ้าไม่อยากเสี่ยงมารู้ก่อนลุย เข้าใจการใช้งานก็ป้องกันความเสียหายของรถคุณได้ ตาม มิสเตอร์ คุ้มค่า จะพาไปทำความเข้าใจรายละเอียด รู้ก่อนขับรถลุยน้ำกันในบทความนี้ เชิญทัศนา

ขับรถลุยน้ำหรือน้ําท่วมรถ ประกันจ่ายไหม ?

สำหรับคำถามที่ว่าขับรถลุยน้ำ ประกันชั้น 1 จ่ายไหม ? ต้องบอกก่อนว่าจริง ๆ แล้วเมื่อซื้อประกันรถยนต์ ทั้งประกันรถยนต์ชั้น 1, ชั้น 2+ (บางแพ็คเก็จ) หรือชั้น 3+ (บางแพ็คเก็จ) จะให้ความคุ้มครองกรณีภัยธรรมชาติด้วยอยู่แล้ว แต่เดี๋ยวก่อน! เพราะใช่ว่าบริษัทประกันจะรับเคลมทุกกรณีเสมอไป โดยคำตอบของคำถามที่ว่าน้ําท่วมรถ ประกันจ่ายไหม ? ขึ้นอยู่กับ “ปัจจัย” ดังนี้

  • 1. เกิดจากภัยธรรมชาติ น้ำท่วม

    หากเป็นกรณีที่เกิดขึ้นจากภัยธรรมชาติ น้ำท่วมโดยตรงแบบ 100% เช่น จอดรถยนต์ไว้ที่บ้านแล้วอยู่ ๆ ฝนตกลงมาอย่างหนักจนน้ำท่วม หรือเกิดน้ำหลาก ไม่สามารถเคลื่อนย้ายรถได้ทัน แบบนี้ประกันรถยนต์จะให้ความคุ้มครองตามที่ระบุไว้ในกรมธรรม์

  • 2. รถติดอยู่บนถนน แล้วน้ำท่วม

    กรณีที่รถติดอยู่บนถนนจนไม่สามารถขยับไปไหนได้เลย หากฝนตกหนักจนน้ำท่วมรถ จนทำให้รถยนต์ทั้งระบบไฟฟ้า เครื่องยนต์ และชิ้นส่วนต่าง ๆ ได้รับความเสียหาย ทางบริษัทฯ จะถือเป็น “เหตุสุดวิสัย” และให้ความคุ้มครองตามปกติ

  • 3. ผู้เอาประกันจงใจ

    สำหรับผู้เอาประกันที่ “จงใจ” ปล่อยให้รถยนต์ตกอยู่ในสถานการณ์น้ำท่วม จนได้รับความเสียหาย ไม่ว่าจะเป็นระดับความเสียหายไหน ๆ ก็ตาม เช่น ขับไปในเส้นทางที่เสี่ยงทั้ง ๆ ที่มีป้ายเตือน หรือมีประกาศแจ้งล่วงหน้า แบบนี้บริษัทจะไม่ให้ความคุ้มครอง

  • 4. สตาร์ทรถเมื่อรถถูกน้ำท่วมไปแล้ว

    หากน้ำท่วมสูงและสถานการณ์ ณ ขณะนั้นเป็นอันตรายต่อรถยนต์ แต่ผู้เอาประกันกลับสตาร์ทรถ บริษัทประกันรถยนต์จะถือว่าผู้เอาประกัน “เจตนาที่จะสตาร์ทรถ” แม้รู้อยู่เต็มอกว่าจะทำให้รถยนต์ได้รับความเสียหาย แบบนี้จะไม่ได้รับความคุ้มครองใด ๆ แม้ว่าจะทำประกันชั้น 1 ก็ตาม

ขั้นตอนเคลมประกันรถยนต์กรณีน้ำท่วม มีอะไรบ้าง ?

หากรถยนต์ของคุณได้รับความเสียหายจากกรณีน้ำท่วม ไม่ว่าจะเป็นน้ำท่วมรถหรือน้ำเข้ารถ ซึ่งเป็นไปตามเงื่อนไขที่บริษัทฯ​ ให้ความคุ้มครอง ให้ทำการ “แจ้งเคลม” ตามขั้นตอนดังนี้

  1. ถ่ายรูปรถยนต์ที่ยังมีน้ำท่วมขัง หากไม่ได้ท่วมมิดคันถ่ายให้ติดป้ายทะเบียนด้วย
  2. โทรแจ้งบริษัทประกันรถยนต์เพื่อตรวจสอบกรมธรรม์ พร้อมแจ้งเคลมทางโทรศัพท์ จากนั้นรอเจ้าหน้าที่ประสานงานให้ความช่วยเหลือเรื่องรถยก รถลาก
  3. นัดหมายเพื่อตรวจสอบสภาพความเสียหายของรถ ก่อนนำรถเข้าจัดซ่อม
  4. หากสภาพสามารถซ่อมให้กลับมาใช้งานได้ตามปกติ หรือมีค่าเสียหายไม่เกิน 70% ของทุนประกัน ให้รอนำรถเข้าซ่อมที่อู่กลาง

สำหรับคนที่อยากซื้อประกันรถยนต์ที่ให้ความคุ้มครองครอบคลุมทุกกรณี โดยเฉพาะคนที่อาศัยในพื้นที่ที่น้ำท่วมอยู่บ่อย ๆ แต่ไม่รู้ว่าจะต้องซื้อกับที่ไหน มิสเตอร์ คุ้มค่า เป็นอีกหนึ่งตัวเลือกที่น่าสนใจ สามารถเช็คเบี้ยประกันรถยนต์และหาคำตอบเรื่อง ประกันรถยนต์ชั้น 1 ที่ไหนดี ได้ตลอด 24 ชั่วโมง เพื่อให้คุณได้รับความคุ้มครองที่คุ้มค่า ตอบโจทย์ตลอดอายุกรมธรรม์

น้ำท่วมรถซ่อมได้ไหม ค่าใช้จ่ายประมาณเท่าไหร่ ?

หนึ่งในประเด็นที่หลาย ๆ คนสงสัยกันค่อนข้างมาก โดยเฉพาะคนที่ไม่มีประกันรถยนต์ ว่าถ้าหากน้ำท่วมรถยนต์จนได้รับความเสียหาย สามารถซ่อมได้ไหม ? แล้วค่าซ่อมอยู่ที่ประมาณเท่าไหร่ ? ตอบตรงนี้ก่อนเลยว่า “ซ่อมได้” แต่ขึ้นอยู่กับระดับความเสียหายของเครื่องยนต์ด้วย

หากน้ำท่วมเป็นเวลานาน บวกกับน้ำตรงนั้นเป็น “น้ำเค็ม” อาจทำให้เครื่องยนต์ภายในถูกกัดกร่อนชิ้นส่วนต่าง ๆ ซึ่งมันยากมากที่จะซ่อมให้กลับมาเหมือนใหม่ ซึ่งส่วนใหญ่หากเป็นแบบนี้มักเลือก “ขายซาก” กันซะมากกว่า

ค่าซ่อมรถกรณีน้ำท่วม มีราคากลางประมาณกี่บาท ?

ในส่วนของ “ค่าซ่อมรถ” ไม่ว่าจะกรณีน้ำเข้ารถ น้ำท่วมรถ หรือใด ๆ ก็ตาม แต่ละอู่หรือแต่ละศูนย์ซ่อมจะมีค่าบริการ/ค่าซ่อมที่ต่างกันออกไป มิสเตอร์ คุ้มค่า จึงได้ลิสต์ “ราคากลาง” มาให้ทำความเข้าใจคร่าว ๆ ดังนี้

  • น้ำท่วมถึงพื้นรถยนต์ ประเมินค่าซ่อมเริ่มต้น อยู่ที่ 8,000-10,000 บาท
  • น้ำท่วมถึงเบาะที่นั่ง ค่าซ่อมประเมินเบื้องต้น ประมาณ 15,000-20,000 บาท
  • น้ำท่วมถึงส่วนล่างของคอนโซลหน้า ค่าซ่อมเริ่มต้นประมาณ 25,000-30,000 บาท
  • น้ำท่วมถึงส่วนบนของคอนโซลหน้า ค่าซ่อมเริ่มต้นจะอยู่ที่ประมาณ 30,000 บาทขึ้นไป
  • รถยนต์จมทั้งคัน จนไม่สามารถซ่อมได้ กรณีนี้หากทำประกันรถยนต์ชั้น 1 หรือประกันรถยนต์ที่ให้ความคุ้มครองกรณีน้ำท่วมเอาไว้ บริษัทประกันจะ “คืนทุนประกัน” ให้กับผู้เอาประกันตามจำนวนเงินที่ระบุไว้ในกรมธรรม์

เช็กก่อน น้ำท่วมระดับไหนที่เป็นอันตรายต่อรถยนต์ ?

หากต้องขับรถในหน้าฝน นอกจากจะต้องเพิ่มความระมัดระวังในการขับขี่แล้ว ยังต้อง “ประเมินสถานการณ์” ให้ดีด้วย โดยเฉพาะ “ระดับน้ำ” ที่อาจเป็นอันตราย และทำให้รถยนต์ได้รับความเสียหายตามมา ซึ่งจะมีระดับไหนที่ลุยได้และลุยไม่ได้บ้าง ตามไปดูกันเลย!

ระดับน้ำ 5-10 เซนติเมตร

เป็นระดับน้ำท่วมที่พบเจอได้ทั่ว ๆ ไป ซึ่งถือเป็น “ระดับปลอดภัย” สามารถขับลุยได้ ไม่ส่งผลกระทบต่อเครื่องยนต์ แต่แนะนำให้ขับด้วยความระมัดระวัง ด้วยการลดความเร็วก่อนขับลุย เพราะไม่อย่างนั้นอาจเกิดอาการเหินน้ำได้

ระดับน้ำ 10-20 เซนติเมตร

หรือประมาณครึ่งฟุต ยังคงเป็นระดับที่ปลอดภัยต่อรถยนต์อยู่ สำหรับรถเล็กอาจได้ยินเสียงน้ำอยู่ใต้ท้องรถ แต่ไม่ต้องกังวล สามารถขับต่อได้เรื่อย ๆ

ระดับน้ำ 20-40 เซนติเมตร

เป็นระดับน้ำที่เสี่ยงสำหรับรถเล็ก เนื่องจาก “ท่อไอเสีย” อาจจมน้ำหรือมีน้ำซีมเข้าตัวรถได้ แนะนำให้ประเมินสถานการณ์ก่อน หากเป็นระยะทางสั้น ๆ สามารถขับลุยได้ แต่ถ้าท่วมเป็นทางยาวควรหลีกเลี่ยงเส้นทางดังกล่าวจะดีที่สุด ในส่วนของรถใหญ่อย่างรถกระบะสามารถขับต่อได้ตามปกติ

ระดับน้ำ 40-60 เซนติเมตร

แน่นอนว่าระดับนี้ “เป็นอันตรายต่อรถเล็ก” ไม่ควรขับผ่านเด็ดขาดไม่ว่าจะท่วมแค่ระยะทางสั้น ๆ ก็ตาม สำหรับรถใหญ่แนะนำให้ปิดระบบเครื่องปรับอากาศ เพื่อลดโอกาสน้ำเข้ารถ เว้นแต่รถใหญ่ที่ค่อนข้างสูงกว่าปกติ สามารถขับผ่านได้ชิว ๆ

ระดับน้ำ 60-80 เซนติเมตร

เป็นระดับน้ำท่วมถนนที่เป็นอันตรายกับรถยนต์ทุกประเภท ชนิดที่เรียกว่าน้ำท่วมรถบางคันได้เลย และ “ไม่ควรขับลุยเด็ดขาด” เนื่องจากน้ำอาจไหลเข้าเครื่องกรองอากาศ ทำให้เครื่องยนต์ไม่ทำงาน รวมถึงยังสร้างความเสียหายต่อระบบต่าง ๆ ได้อีกด้วย

สำหรับรถใหญ่ที่ยกสูงกว่ารถทั่วไป หากไม่สามารถเลี่ยงเส้นทางอื่นได้จริง ๆ สามารถขับต่อได้ แต่จะต้องมีความชำนาญในการขับรถลุยน้ำพอสมควร

ระดับน้ำ 80 เซนติเมตรขึ้นไป

รถทุกประเภทไม่ควรขับลุยน้ำท่วม ที่มีระดับสูงกว่า 80 เซนติเมตรขึ้นไป เพราะเป็นระดับที่สูงถึงฝากระโปรงรถ อาจสร้างความเสียหายให้กับระบบไฟฟ้าในรถยนต์ การหลีกเลี่ยงเส้นทางดังกล่าวเป็นตัวเลือกที่ดีมากที่สุด

5 ทริคขับรถลุยน้ำ ขับยังไงปลอดภัย อุ่นใจกว่า ?

หากประเมินแล้วพบว่าเส้นทางที่ต้องสัญจรทุกวัน มีระดับน้ำที่สามารถขับลุยได้ แต่ยังคงเกิดความกังวล กลัวว่าน้ำท่วมถนนจะสร้างความเสียหายให้กับรถยนต์ มิสเตอร์ คุ้มค่า ลิสต์ทริคขับรถลุยน้ำเพื่อป้องกันอันตรายที่อาจเกิดขึ้นมาให้แล้ว ไปทำความเข้าใจกันเลย

  • รักษาระยะห่าง ควรเว้นระยะห่างกับรถยนต์คันด้านหน้าพอประมาณ เนื่องจากเมื่อระบบเบรกแช่น้ำเป็นเวลานาน จะทำให้ประสิทธิภาพการทำงานลดลง เสี่ยงต่อการเกิดอุบัติเหตุได้ง่าย
  • ใช้เกียร์ให้เหมาะสม สำหรับรถยนต์ระบบเกียร์ธรรมดา ให้ใช้เกียร์ 1 หรือเกียร์ 2 และสำหรับรถยนต์ระบบเกียร์ออโต้ ให้ใช้เกียร์ L หรือเกียร์ 1 นอกจากนี้เพื่อความปลอดภัย ควรรักษาระดับความเร็วให้อยู่ระหว่าง 1,500-2,000 รอบ
  • ขับรถให้ช้าลง ในช่วงที่ฝนตก น้ำท่วม แน่นอนว่าทัศนวิสัยในการขับขี่จะย่ำแย่มาก ๆ ดังนั้นนอกจากจะต้องมีสติตลอดเวลาแล้ว ยังควรขับรถให้ช้าลงกว่าปกติ รวมถึงปิดแอร์ก่อนขับลุยน้ำ เพราะถ้าหากน้ำท่วมถึงตัวพัดลม อาจเกิดการพัดตีน้ำขึ้นมาโดนห้องไฟฟ้าได้
  • ไม่ควรดับเครื่องทันที เมื่อขับรถลุยน้ำท่วมจนถึงที่หมายปลายทางแล้ว อย่าเพิ่งรีบดับรถเด็ดขาด แนะนำให้จอดทิ้งไว้ก่อนสักพัก เพื่อให้น้ำที่อาจตกค้างภายในหม้อพักท่อไอเสียระเหยให้หมดก่อน

ดูแลรถช่วงหน้าฝนยังไง ให้รถได้รับผลกระทบน้อยที่สุด ?

ดูแลรถช่วงหน้าฝนยังไง ให้รถได้รับผลกระทบน้อยที่สุด ? | มิสเตอร์ คุ้มค่า

คนรักรถที่กำลังมองหาวิธีการดูแลรถช่วงหน้าฝน ขับรถเจอน้ำท่วมถนนบ้าง หรือต้องเจอน้ำเข้ารถ ต้องรีบจัดการอย่าละเลย เรารวบตึงข้อมูลสำหรับคนใช้รถมาให้แล้ว รับประกันว่ารถยนต์ของคุณจะได้รับผลกระทบน้อยที่สุด ผ่านหน้าฝนนี้ไปได้โดยไม่ต้องมีเหตุการณ์ร้ายเกิดขึ้นเพราะสายฝน อะไรบ้างไปดูกัน

  • 1. ล้างรถทันทีหลังจากลุยฝน

    สำหรับวิธีดูแลรถยนต์ที่ดีที่สุดยิ่งในการดูแลรถหน้าฝน หลังจากที่เพิ่งขับรถลุยฝนมาหมาด ๆ คือ ล้างรถทันทีที่ถึงที่หมายปลายทาง และจะต้องเป็นการล้างอย่างถูกวิธี พร้อมใช้ “น้ำยาเคลือบสีรถ” ร่วมด้วย เพื่อช่วยให้รถสะอาดและเพื่อไม่ให้คราบติดอยู่กับรถมากเกินไป

  • 2. เลี่ยงการจอดใต้ต้นไม้

    อีกหนึ่งการดูแลรถหน้าฝนที่ถูกที่ควร แม้วันนั้นจะไม่มีฝนตั้งเค้ามาเลยก็ตาม แต่ก็ไม่ควรจอดรถใต้ต้นไม้เด็ดขาด เพราะมีโอกาสสูงมาก ๆ ที่ใบไม้ กิ่งไม้ จะร่วงหล่นลงมาใส่รถ จนทำให้ได้รับความเสียหายตามมา

  • 3. เช็กใบปัดน้ำฝนอยู่เสมอ

    เนื่องจากในช่วงหน้าฝนใบปัดน้ำฝนจึงมีความสำคัญมาก ๆ เรียกได้ว่าเป็น “พระเอก” ที่ช่วยเพิ่มความปลอดภัยในการขับขี่เลยล่ะ ดังนั้นหากต้องการดูแลรถหน้าฝนให้มีประสิทธิภาพ ควรตรวจเช็กใบปัดน้ำฝนด้วยเช่นกัน หากชิ้นส่วนดังกล่าวเสื่อมสภาพ นอกจากจะทำให้ทัศนวิสัยไม่ดีแล้ว ยังทำให้กระจกเป็นคราบอีกด้วย

ย้ำอีกครั้งว่าน้ำท่วม เป็นเหตุการณ์ที่ควบคุมได้ยาก และไม่รู้ได้ล่วงหน้าว่าจะเกิดขึ้นเมื่อไหร่ ดังนั้นการประเมินสถานการณ์ ด้วยการสังเกตว่าน้ำท่วมถนนระดับไหน สามารถลุยได้ก็ถือว่าช่วยลดความอันตรายที่เกิดขึ้นกับรถได้ในระดับหนึ่ง นอกจากนี้การเลือกซื้อประกันรถยนต์ที่คุ้มครองอย่างครอบคลุม โดยเฉพาะในกรณีนี้ ก็ถือว่าเป็นหนึ่งในตัวเลือกที่ดีมาก ๆ ด้วยเช่นกัน

คำจำกัดความ
อาการเหินน้ำ เป็นอาการที่เกิดจากยางรถยนต์ไม่สามารถรีดน้ำออกได้ ทำให้ยางรถยนต์สูญเสียการยึดเกาะพื้นผิวถนน
สัญจร ผ่านไปมา, ช่องทาง, การผ่านไปมา
กัดกร่อน ทำให้ค่อย ๆ ผุพัง, ทำให้เสื่อม
เหตุสุดวิสัย ภาวะ หรือเรื่องที่เกิดขึ้นโดยไม่อาจป้องกันได้
จงใจ โดยเจตนา, อย่างตั้งใจ
ขายซาก การขายรถยนต์ที่เกิดความเสียหาย และไม่คุ้มค่าต่อการซ่อมแซม

เปรียบเทียบราคา หรือ ต้องการรายละเอียดเพิ่มเติม เจ้าหน้าที่เราพร้อมให้บริการ

บทความที่น่าสนใจ

เพราะเรารู้ว่าคุณรู้สึกสับสนและมึนหัวเพียงใด ในตอนที่ต้องเลือกผลิตภัณฑ์ที่ใช่