การทำประกันภัยรถยนต์ถือเป็นการวางแผนเพื่อลดความเสี่ยง และภาระค่าใช้จ่ายที่จะเกิดขึ้นเมื่อเกิดอุบัติเหตุ เราจึงจะพาคุณไปหาคำตอบว่า ประกันภัยรถยนต์ให้ความคุ้มครองอะไรบ้าง ? ประเภทไหนเป็นยังไง ? คุ้มครองตอบโจทย์แค่ไหน ? เพื่อให้คุณตัดสินใจเลือกซื้อประกันได้ดีที่สุด ถ้าพร้อมแล้วไปลุยกันเลย !
ไขข้อสงสัยประกันภัยรถยนต์คุ้มครองอะไรบ้าง ?
ต้องอธิบายก่อนว่าประกันภัยรถยนต์ในปัจจุบัน มีทั้งหมด 5 ประเภท โดยแต่ละประเภทมีเงื่อนไขและความคุ้มครองแตกต่างกันออกไป เพื่อให้คุณเกิดความเข้าใจรายละเอียดต่าง ๆ มากขึ้น มาดูกันเลยว่าแต่ละประเภทให้ความคุ้มครองเป็นยังไงกันบ้าง
ประกันภัยรถยนต์ชั้น 1
ประกันชั้น 1 ถือเป็นประกันภัยรถยนต์ภาคสมัครใจ ที่ได้รับความนิยมเป็นอันดับต้น ๆ แถมเป็นประเภทที่เบี้ยประกันราคาสูงที่สุด แต่ใคร ๆ ก็ยอมจ่าย เพื่อให้ได้รับความคุ้มครองที่ครอบคลุมมากที่สุด ไม่ว่าจะเป็นอาการบาดเจ็บ ความเสียหายต่อตัวรถ การถูกโจรกรรม ภัยพิบัติ และอีกมากมาย นอกจากนี้ยังรวมถึงค่าใช้จ่ายในการลากจูงรถ และบริการช่วยเหลือฉุกเฉินบนท้องถนน 24 ชั่วโมงอีกด้วย
ข้อดีของประกันภัยชั้น 1
ให้ความคุ้มครองครอบคลุมมากที่สุด เนื่องจากรับผิดชอบความเสียหายด้านต่าง ๆ อย่างครบครัน ไม่ว่าจะเป็นรถยนต์ของผู้เอาประกัน ทรัพย์สิน ชีวิตและร่างกายของคู่กรณี (หากผู้เอาประกันเป็นฝ่ายผิด) รวมไปถึงกรณีอื่น ๆ ที่ไม่เกี่ยวข้องกับอุบัติเหตุบนท้องถนน เช่น ไฟไหม้ รถหาย น้ำท่วม เรียกได้ว่าคุ้มครองทุกรูปแบบจริง ๆ
ข้อสังเกตของประกันภัยชั้น 1
ราคาค่าเบี้ยประกัน (ต่อปี) ค่อนข้างสูง
ประกันภัยรถยนต์ชั้น 1 เหมาะกับใคร ?
ประกันภัยรถยนต์ประเภทนี้ เหมาะสำหรับมือใหม่หัดขับ หรือรถใหม่ที่มีอายุไม่เกินเงื่อนไขที่ทางบริษัทประกันกำหนด
ประกันภัยรถยนต์ชั้น 2+
ประกันภัยรถยนต์ 2+ ให้ความคุ้มครองไม่ต่างจากประกันชั้น 1 สักเท่าไหร่ หากคุณกำลังมองประกันภัยรถยนต์ที่ให้ความคุ้มครองที่ครอบคลุมพอ ๆ กัน แต่ค่าเบี้ยต่อปีถูกกว่า หรือต้องการได้รับความคุ้มครองในกรณีที่ต้องเคลมหนัก (ต้องมีคู่กรณีเท่านั้น) สำหรับคนที่มีประวัติการขับที่ดี ประกอบกับมีความเสี่ยงต่อการพบเจออุบัติเหตุบนท้องถนนบ่อย ประกันชั้นนี้ตอบโจทย์ได้ดีมาก ๆ เลยล่ะ
ข้อดีของประกัน 2+
ให้ความคุ้มครอง/รับผิดชอบไม่ต่างจากประกันชั้น 1 แถมค่าเบี้ยต่อปียังถูกกว่า
ข้อสังเกตของประกัน 2+
ไม่คุ้มครองการชนแบบไม่มีคู่กรณี พูดง่าย ๆ ว่าจะต้องเป็นอุบัติเหตุแบบรถชนรถเท่านั้น ชนต้นไม้ ชนข้างทาง หรืออื่น ๆ จะไม่ได้รับความคุ้มครอง กรณีที่โดนชนแล้วหนี จะต้องแนบหลักฐานเพิ่มเติม ถึงจะสามารถยื่นเคลมประกันได้
ประกัน 2+ เหมาะกับใคร ?
ประกันภัยรถยนต์ประเภทนี้ เหมาะสำหรับรถยนต์ที่มีอายุมากกว่า 7 ปี แต่ไม่เกิน 15 ปี คนที่ขับรถชนต้นไม้ ริมทาง หรือใด ๆ บ่อย ๆ ประกันประเภทนี้อาจไม่ตอบโจทย์
ประกันภัยรถยนต์ชั้น 2
ประกันภัยรถยนต์ ประเภท 2 ให้ความคุ้มครองเฉพาะชีวิต ร่างกาย การบาดเจ็บ และทรัพย์สินของคู่กรณีเท่านั้น ไม่ได้ให้ความคุ้มครองกับผู้เอาประกัน กรณีที่รถเฉี่ยวชน พลิกคว่ำ หรือเกิดอุบัติเหตุบนท้องถนน เมื่อผู้เอาประกันเป็นฝ่ายผิด นอกจากนี้ยังให้ความคุ้มครองความสูญหายและเหตุไฟไหม้
ข้อดีของประกันชั้น 2
ให้ความคุ้มครอง/รับผิดชอบไม่ต่างจากประกันชั้น 1 แถมค่าเบี้ยต่อปียังถูกกว่า
ข้อสังเกตของประกันชั้น 2
ให้ความคุ้มครองเฉพาะชีวิต ร่างกาย การบาดเจ็บ และทรัพย์สินของคู่กรณีเท่านั้น ไม่คุ้มครองกรณีรถชนรถ หรือชนสิ่งอื่น ๆ ที่ไม่ใช่รถ หรือไม่มีคู่กรณี
ประกันภัยรถยนต์ชั้น 2 เหมาะกับใคร ?
เหมาะสำหรับคนที่มีประสบการณ์ในการขับรถในระดับหนึ่ง หรือเป็นคนที่ใช้รถไม่ค่อยบ่อย แต่ต้องจอดรถในที่เปลี่ยวบ่อย ๆ
ประกันภัยรถยนต์ชั้น 3+
ให้ความคุ้มครองรถยนต์คันที่เอาประกัน กรณีเกิดอุบัติเหตุรถชนเท่านั้น นอกจากนี้ยังไม่ให้ความคุ้มครองค่าความเสียหายกรณีไฟไหม้ น้ำท่วม สูญหาย หรือโดนโจรกรรม
ข้อดีของประกัน 3+
ค่าเบี้ยประกัน (ต่อปี) ค่อนข้างถูก เข้าถึงง่าย ให้ความคุ้มครองชีวิตและทรัพย์สินของคู่กรณี
ข้อสังเกตของประกัน 3+
คุ้มครองเฉพาะคู่กรณี (กรณีผู้เอาประกันเป็นฝ่ายผิด) แต่จะไม่รับผิดชอบความเสียหายที่เกิดขึ้นกับรถยนต์ รวมถึงรถยนต์สูญหาย ไฟไหม้ ภัยพิบัติทางธรรมชาติ
ประกัน 3+ เหมาะกับใคร ?
ประกันภัยรถยนต์ประเภทนี้ เหมาะสำหรับคนที่ใช้รถค่อนข้างน้อยไปจนถึงน้อยมาก และตัวรถมีอายุมากกว่า 10 ปีขึ้นไป จอดในที่ปลอดภัย ผู้ขับขี่มีความชำนาญ และผู้เอาประกันที่ต้องการเซฟค่าเบี้ยประกันให้น้อยลง
ประกันภัยรถยนต์ชั้น 3
ประกันภัยรถยนต์ชั้น 3 ถือว่ามีค่าเบี้ยประกัน (ต่อปี) ถูกที่สุด รองจากประกันภัยชั้น 4 โดยจะให้ความคุ้มครองเฉพาะชีวิต ร่างกาย และทรัพย์สินของคู่กรณีเท่านั้น (เมื่อผู้เอาประกันเป็นฝ่ายผิด) โดยมีการคุ้มครองตามจำนวนวงเงินที่ระบุไว้ในกรมธรรม์ เช่น ค่าชดเชยรายได้สำหรับผู้บาดเจ็บ, ค่ารักษาพยาบาล, ค่าใช้จ่ายในการต่อสู้คดี, ค่าทนายความ ใด ๆ ก็ตามค่าใช้จ่ายทั้งหมดจะต้องไม่เกินวงเงินตามที่ได้ตกลงกันไว้
ข้อดีของประกันชั้น 3
ให้ความคุ้มครองเฉพาะรถยนต์ของคู่กรณี เมื่อผู้เอาประกันขับรถไปชนกับรถคันอื่น (ผู้เอาประกันเป็นฝ่ายผิด) จนรถคู่กรณีได้รับความเสียหาย บริษัทฯ จะชดเชยค่าเสียหายที่เกิดขึ้นตามจริงแทนเจ้าของรถ (ผู้เอาประกัน) เช่น รับผิดชอบค่าซ่อมรถเฉพาะรถคู่กรณีเท่านั้น
ข้อสังเกตของประกันชั้น 3
ไม่ให้ความคุ้มครองรถยนต์คันที่เอาประกันในทุกกรณี ไม่ว่าจะเป็นอุบัติเหตุลักษณะใด ๆ ก็ตาม หรือแม้ว่าอุบัติเหตุครั้งนั้น ผู้เอาประกันจะเป็นฝ่ายถูกก็ตาม
ประกันประเภท3 เหมาะกับใคร ?
เหมาะกับผู้เอาประกันที่มีรถยนต์หลายคัน หรือแทบจะไม่ได้ใช้รถคันที่ทำประกันภัยรถยนต์ชั้น 3 เลย หรือถ้าใช้ก็ใช้น้อยมาก ๆ และจะต้องเป็นรถที่จอดอยู่ในที่ปลอดภัย ไม่เสี่ยงต่อการเกิดไฟไหม้ หรือโดนโจรกรรมได้ง่าย
เห็นแล้วใช่ไหมว่า ? ประกันภัยรถยนต์แต่ละประเภท นอกจากจะมีค่าเบี้ยประกัน (ต่อปี) แตกต่างกันแล้ว เงื่อนไขความคุ้มครองก็แตกต่างตามไปด้วยเช่นกัน แนะนำให้สังเกตพฤติกรรมและไลฟ์สไตล์ในการใช้รถของตัวเองให้ดี แล้วค่อยตัดสินใจเลือกซื้อประกันรถยนต์ที่ตอบโจทย์ เพราะถ้าหากคุณมีพฤติกรรมการใช้รถแบบขับน้อยมาก ๆ หรือแค่จอดทิ้งไว้เฉย ๆ การเลือกซื้อประกันภัยรถยนต์ชั้น 1 อาจไม่ค่อยคุ้มสักเท่าไหร่