ล้างรถเองแต่พังไม่เป็นท่า รถเป็นรอยเคลมประกันได้ไหม

แชร์ต่อ

อยากประหยัดค่าใช้จ่ายด้วยการล้างรถเอง หรือใช้บริการล้างรถเอง หยอดเหรียญ แต่สุดท้ายพังไม่เป็นท่า รถเป็นรอยแบบงง ๆ แถมยังเป็นรอยที่คอยกวนใจอยู่ตลอด แบบนี้เจ้าของรถจะเคลมได้ไหม มีเงื่อนไขในการเคลมประกันอย่างไรบ้าง มิสเตอร์ คุ้มค่า รวบรวมรายละเอียดที่น่าสนใจมาให้แล้ว ตามไปทำความเข้าใจพร้อม ๆ กันได้เลย

ล้างรถเองยังไงให้เหมือนใหม่ ไร้รอยกวนใจ ?

สำหรับคนที่ไม่สะดวกนำรถเข้าใช้บริการคาร์แคร์ หรือมีเวลา และอยากดูแลรถเอง แต่ไม่รู้ว่าจะต้องล้างยังไงให้ใสกิ๊ง ไร้รอยขีดข่วน มิสเตอร์ คุ้มค่า ลิสต์ Howto ล้างรถฉบับมือโปรมาให้แล้ว จะมีขั้นตอนยังไง มีอุปกรณ์อะไรที่ต้องเตรียมบ้างตามไปดูกันเลย

อุปกรณ์ล้างรถที่ต้องมี

  1. แชมพูหรือน้ำยาล้างรถ
  2. สายยางหรือที่ฉีดน้ำแรงดันสูง
  3. ฟองน้ำหรือถุงมือล้างรถ
  4. แปรงล้างล้อ
  5. ถังน้ำ
  6. ผ้าไมโครไฟเบอร์

How to ล้างรถเองฉบับมือโปร

  1. ฉีดน้ำล้างไล่ฝุ่นออกให้หมดก่อน
  2. ล้างขัดล้อให้สะอาด และอย่าลืมล้างบังโคลนด้วย
  3. ล้าง ขัด ถูจากด้านบนลงด้านล่าง โดยไม่ต้องออกแรงให้มากมาย
  4. ฉีดน้ำสะอาดเพื่อล้างน้ำยาล้างรถออกให้หมด
  5. ใช้ผ้าเช็ดให้แห้งป้องกันคราบ

ทั้งนี้ ไม่ว่าจะเป็นฟองน้ำล้างรถ หรือผ้าไม่โครไฟเบอร์ ควรใช้แยกส่วนกันเสมอ อันไหนใช้ล้างล้อก็ล้างล้อไปตลอด อย่าน้ำมาล้าง ขัด ถู ตัวถังรถเด็ดขาด เพราะเศษหินหรือเศษต่าง ๆ ที่ติดมากับล้ออาจขูดจนรถสีถลอกได้นั่นเอง

ล้างรถเองแล้วรถเป็นรอย เคลมประกันรถยนต์ได้ไหม ?

ล้างรถเองแล้วรถเป็นรอย เคลมประกันรถยนต์ได้ไหม ? | มิสเตอร์ คุ้มค่า

ในกรณีที่เกิดรอยจากการล้างรถเอง ไม่ว่าจะล้างกับที่ล้างรถเอง หรือล้างรถเอง หยอดเหรียญ ร้านล้างรถด้วยตัวเอง รวมถึงเกิดความเสียหายอื่น ๆ ที่เกิดขึ้นจากการล้างรถด้วยตัวเอง ผู้เอาประกันจะได้รับความคุ้มครองจากบริษัทประกันภัยรถยนต์ แต่ต้องเป็นประกันรถยนต์ชั้น 1 เท่านั้น โดยเงื่อนไขจะเป็นไปตามการพิจารณาของบริษัทฯ และส่วนใหญ่จะเป็นการเคลมแบบเคลมแห้ง

ในขณะที่ประกันชั้นอื่น ๆ เช่น ชั้น 2+, 3+, 2 หรือ 3 จะไม่ได้รับความคุ้มครองในกรณีนี้ เนื่องจากถือเป็น “อุบัติเหตุแบบไม่มีคู่กรณี” หากเกิดความเสียหายเนื่องจากล้างรถเองแล้วรถสีถลอก ผู้เอาประกันจะต้องรับผิดชอบค่าใช้จ่ายในการซ่อมรถด้วยตัวเอง

รู้ก่อนเคลม เคลมแห้ง vs เคลมสด คืออะไร ต่างกันยังไง ?

เชื่อว่าผู้เอาประกันหลายคนคงสงสัยอยู่ไม่น้อย ว่าเคลมสด vs เคลมแห้ง คืออะไร ต่างกันยังไง มิสเตอร์ คุ้มค่า ได้รวบรวมรายละเอียดที่น่าสนใจมาให้แล้ว ไปทำความเข้าใจก่อนแจ้งเคลมกันเลย

เคลมสด

คือ การเคลมที่ต้องการให้พนักงาน/เจ้าหน้าที่ของบริษัทประกันภัยรถยนต์ ออกตรวจสอบ ณ ที่เกิดเหตุทันที เช่น รถชนแบบมีคู่กรณี มีผู้ได้รับบาดเจ็บ หรือรถยนต์ได้รับความเสียหายอย่างหนัก ซึ่งการเคลมแบบนี้ผู้เอาประกันหรือคู่กรณีจะได้รับใบหลักฐานในการติดต่อค่าเสียหาย (ใบเคลม) จากพนักงานสำรวจภัย สามารถนำไปติดต่อซ่อมที่อู่หรือศูนย์ซ่อมในเครือของบริษัทประกันได้ทันที

การเคลมประกันแบบเคลมแห้ง

คือ การเคลมประกันรถยนต์ที่ไม่ต้องการให้พนักงานสำรวจภัย เดินทางมาตรวจสอบ ณ ที่เกิดขึ้น เช่น รถคันเอาประกันเสียหายเล็กน้อย และไม่มีคู่กรณี หรือล้างรถเองแล้วรถสีถลอก ซึ่งการเคลมประกันประเภทนี้ ผู้เอาประกันสามารถนำรถคันเอาประกัน เข้าไปติดต่อซ่อมที่อู่ในเครือได้ตลอดเวลาที่ผู้เอาประกันสะดวกทั้งนี้ต้องก่อนกรมธรรม์หมดอายุ

ความแตกต่างระหว่างการเคลมสด vs เคลมแห้ง คือ “ระยะเวลาการแจ้งเคลม” ถ้าหากเป็นอุบัติเหตุอย่างหนัก รถเสียหายมาก หรือมีผู้ได้รับบาดเจ็บอันเนื่องมาจากเหตุนั้น ๆ แล้วแจ้งเคลมทันที แบบนี้จะเรียกว่า “เคลมสด” แต่ถ้าเป็นอุบัติเหตุเล็ก ๆ น้อย ๆ ไม่แจ้งเคลมทันทีหลังเกิดเหตุแบบนี้จะเรียกว่า “ เคลมแห้ง ” นั่นเอง

เมื่อล้างรถเองแล้วรถเป็นรอย ทำไมถึงนิยมเคลมแห้ง ?

เมื่อไหร่ก็ตามที่รถยนต์คันโปรดเป็นรอยขีดข่วนเล็ก ๆ น้อย ๆ คอยกวนใจ หรือรอยขูดลึก แล้วหลายคนไม่อยากแจ้งเคลมประกันเพื่อทำสีใหม่ในทันที และเลือกที่จะสะสมรอยขูดรถ รอยกรีดรถไปเรื่อย ๆ จนกว่าจะพอใจ หรือพูดง่าย ๆ ว่าเป็นการ “ เคลมแห้ง “ เป็นเพราะไม่อยากให้รถมีประวัติแจ้งเคลมบ่อย ๆ แล้วจะส่งผลกระทบต่อเบี้ยประกันรถยนต์ที่แพงขึ้นในปีถัดไป แม้จะต้องจ่ายค่าเสียหายส่วนแรกเมื่อแจ้งเคลม ก็ดีกว่ามีประวัติเคลมหลายรอบ

เนื่องจากบริษัทประกันรถยนต์แทบทุกบริษัท จะมี “ส่วนลดขับขี่ประวัติดีให้กับผู้เอาประกันในทุก ๆ ปี” ยิ่งถ้าหากไม่มีการแจ้งเคลมเลย หรือเคลมน้อยมาก ก็จะมีโอกาสได้รับส่วนลดเบี้ยประกันไปเรื่อย ๆ สูงสุด 50% กันเลยทีเดียว

พาหาคำตอบ ประกันรถยนต์แบบไหนเหมาะกับคุณ ?

อย่างที่ทราบกันว่าในปัจจุบันมีแผนประกันรถให้เลือกหลากหลาย และแต่ละชั้นก็ให้ความคุ้มครอง และมีราคาค่าเบี้ยแตกต่างกันอย่างชัดเจน แล้วจะต้องเลือกยังไงให้เหมาะกับตัวเองมากที่สุด? แนะนำให้พิจารณาจากปัจจัยต่อไปนี้ก่อนตัดสินใจจะดีกว่า

  • 1. เลือกประกันที่เหมาะกับไลฟ์สไตล์

    ก่อนอื่นต้องพิจารณาไลฟ์สไตล์การขับรถของตัวเองให้ดีก่อน ว่าใช้รถเป็นยังไง ใช้มากหรือใช้น้อย? ขับในเมืองเป็นหลัก หรือขับออกต่างจังหวัดบ่อยกว่า? รวมถึงมีความเสี่ยงในการเกิดอุบัติเหตุมากน้อยแค่ไหน คุณเป็นมือใหม่หัดขับหรือมีความชำนาญในการขับขี่ หากตอบคำถามทั้งหมดนี้ได้ จะช่วยให้เลือกซื้อประกันรถยนต์ได้ถูกใจ และตอบโจทย์มากยิ่งขึ้น

  • 2. เลือกซื้อกับบริษัทที่มีความน่าเชื่อถือ

    เพื่อความมั่นใจ อุ่นใจตลอดกรมธรรม์ สามารถเคลมสด เคลมแห้งได้โดยไม่มีอุปสรรค แนะนำให้เลือกบริษัทที่มีชื่อเสียง ได้รับความไว้วางใจ มีบริการที่ครอบคลุม รวมถึงมีบริการหลังการขายที่ดี พร้อมดูแลเอาใจใส่เมื่อเกิดเหตุไม่คาดฝันตลอด 24 ชั่วโมง

    นอกจากนี้ในส่วนของขั้นตอนการแจ้งเคลมสด เคลมแห้งไม่ยุ่งยาก มีศูนย์บริการหรืออู่ซ่อมในเครือที่ครอบคลุม หากเลือกได้เป้ะตามที่เราบอกไป ก็ช่วยให้คุณสบายใจได้ในระดับหนึ่งแล้วล่ะ

นอกจากจากเลือกซื้อประกันตามที่เราบอกไปข้างต้นแล้ว อย่าลืมเปรียบเทียบประกันรถยนต์แต่ละบริษัทที่เชื่อถือได้แต่ละเจ้าให้ดีก่อน เพราะแต่ละบริษัทมักให้ส่วนลด ข้อเสนอ และโปรโมชั่นที่แตกต่างกันออกไป หากเลือกได้ดีก็จะช่วยให้คุณประหยัดค่าใช้จ่ายได้มาก ๆ แล้วล่ะ

ร่องรอยความเสียหายที่อาจเกิดขึ้นกับรถยนต์คันโปรด เช่น รถสีถลอกเนื่องจากล้างรถเอง หรือเกิดจากการเฉี่ยวชนเล็ก ๆ น้อย ๆ บนท้องถนน ทำให้ต้องเคลมแห้งอยู่บ่อย ๆ สามารถเกิดขึ้นได้ตลอด ดังนั้นเพื่อความอุ่นใจที่มากขึ้น แนะนำให้ซื้อประกันที่ให้ความคุ้มครองตอบโจทย์ โดยเฉพาะประกันชั้น 1 ที่สามารถแจ้งเคลมรอบคันได้ก่อนกรมธรรม์หมดอายุ ไม่เสี่ยงต่อการเสียประวัติเนื่องจากแจ้งเคลมบ่อย ๆ

คำจำกัดความ
​​บังโคลน ​เครื่องบังเหนือล้อรถ ป้องกันไม่ให้โคลนกระเด็นขึ้นมาเปื้อนรถ
​ไลฟ์สไตล์ ​วิถีชีวิต, การดำเนินชีวิต, กิจกรรมที่ชอบทำ
​บริการหลังการขาย ​การสนับสนุนและช่วยเหลือลูกค้าอย่างต่อเนื่องหลังจากลูกค้าซื้อสินค้าหรือใช้บริการไปแล้ว​

เปรียบเทียบราคา หรือ ต้องการรายละเอียดเพิ่มเติม เจ้าหน้าที่เราพร้อมให้บริการ

บทความที่น่าสนใจ

เพราะเรารู้ว่าคุณรู้สึกสับสนและมึนหัวเพียงใด ในตอนที่ต้องเลือกผลิตภัณฑ์ที่ใช่