ปฏิเสธไม่ได้เลยว่า ประกันรถมอเตอร์ไซค์ เป็นเรื่องใกล้ตัว ที่คนขับมอเตอร์ไซค์ก่อนหน้าอาจมองข้ามไม่ค่อยเห็นความสำคัญ อาจเป็นเพราะมองว่าเป็นเรื่องยุ่งยาก ไม่จำเป็นก็ดี แต่ยุคนี้เวลาเปลี่ยน คนเริ่มให้ความสนใจกับเรื่องประกันมอเตอร์ไซค์มากกว่าเดิม เลือกซื้อง่ายกว่าเดิมเพียงแต่คุณจะต้องมีเทคนิคในการเลือกซื้อสักหน่อย เพื่อให้ได้รับความคุ้มครองที่เหมาะสมกับตัวเอง
MrKumka ก็ได้รวบรวมคู่มือการเลือกซื้อประกันรถมอเตอร์ไซค์ มาให้คุณได้ทำความเข้าใจเรียบร้อยแล้ว ซึ่งจะมีรายละเอียดเป็นอย่างไร ? ไปดูพร้อม ๆ กันเลย !
ชวนรู้จักกับ ประกันรถมอเตอร์ไซค์ แต่ละประเภท
โดยปกติแล้วรถมอเตอร์ไซค์จะมี พรบ มอเตอร์ไซค์ให้ความคุ้มครองอยู่แล้ว แต่จะไม่ครอบคุ้มค่าใช้จ่ายทั้งหมด จึงต้องการเพิ่มความคุ้มครองให้รถของคุณเอง เพิ่มความสบายใจ และ หลายคนอาจยังไม่รู้ว่าประกันรถมอเตอร์ไซค์ มีอยู่ด้วยกันหลายประเภทเหมือนกับประกันภัยรถยนต์ ซึ่งแต่ละประเภทจะมีเงื่อนไขความคุ้มครองที่แตกต่างกัน ดังนี้
ประกันรถมอเตอร์ไซค์ ชั้น 1
ประกันรถมอเตอร์ไซค์ ชั้น1 เป็นประกันภัยที่ให้ความคุ้มครองครอบคลุมมากที่สุด ดังนี้
- คุ้มครองคู่กรณีและผู้เอาประกัน
- รับผิดชอบต่อชีวิตและร่างกาย ทรัพย์สิน รวมถึงค่ารักษาพยาบาล
- คุ้มครองกรณีรถสูญหายและไฟไหม้
- คุ้มครองกรณีรถลื่นล้มเอง กรณีไม่ได้เกิดจากอุบัติเหตุและไม่มีคู่กรณี
- มีค่าเสียหายส่วนแรก (ยอดขึ้นอยู่กับเงื่อนไขของแต่ละบริษัท)
ประกันรถมอเตอร์ไซค์ ชั้น 2+
ประกันรถมอเตอร์ไซค์ ชั้น2+ ให้ความคุ้มครองคล้ายกับชั้น 1 แต่มีข้อแตกต่างเพียงเล็กน้อย ดังนี้
- ไม่คุ้มครองกรณีรถล้มเอง และไม่มีคู่กรณี
- จ่ายค่าสินไหมทดแทนให้สำหรับรถคันที่เอาประกัน
- ราคาประหยัดกว่าประกันรถมอเตอร์ไซค์ ชั้น1
ประกันรถมอเตอร์ไซค์ ชั้น 3+
ถือว่าให้ความคุ้มครองใกล้เคียงกับชั้น 2+ แต่จะมี “จุดต่าง” เล็กน้อย ดังนี้
- ไม่คุ้มครองกรณีรถไฟไหม้
- ไม่คุ้มครองกรณีรถเสียหาย
ประกันรถมอเตอร์ไซค์ ชั้น 3
เป็นประกันที่มีราคาประหยัดที่สุด และมีความคุ้มครองที่แตกต่างจากประเภทอื่น ดังนี้
- ให้ความคุ้มครองความเสียหายและทรัพย์สินแค่คู่กรณีเท่านั้น
- ไม่มีความคุ้มครองให้รถคันที่เอาประกัน
คู่มือเลือกซื้อประกันมอเตอร์ไซค์ให้ตอบโจทย์
การเลือกซื้อประกันรถมอเตอร์ไซค์หลาย ๆ คน อาจมีมุมมองที่แตกต่างกันออกไป ไม่ว่าจะเป็นในเรื่องของความคุ้มครอง ราคา หรืออื่น ๆ ซึ่งเราได้รวบรวมทริคในการเลือกซื้อมาให้คุณเรียบร้อยแล้ว ไปดูกันเลย
สำรวจพฤติกรรมการใช้รถของคุณ
การใช้รถใช้ถนน หรือการใช้ชีวิตประจำวันของแต่ละคน ล้วนมีความแตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง ดังนั้นก่อนเลือกซื้อประกันรถมอเตอร์ไซค์ คุณควรสำรวจพฤติกรรมการใช้รถของตัวเองให้ดีก่อน โดยพฤติกรรมหลัก ๆ ก็มีทั้งหมด 4 รูปแบบ ดังนี้
ขับรถในเมือง
มีการใช้รถเป็นประจำ เช่น ไปเรียน ไปทำงาน รวมถึงผู้ขับขี่มอเตอร์ไซค์ Delivery ด้วย บวกกับต้องเจอกับการจราจรที่ติดขัด แออัด ซึ่งพฤติกรรมการใช้รถแบบนี้เหมาะกับประกันชั้น 2+ เนื่องจากคุ้มครองเยอะ ดูแลทั้งคู่กรณีและผู้เอาประกัน
ขับรถออกต่างจังหวัด
ส่วนใหญ่เน้นการเดินทางไกล ออกต่างจังหวัดบ่อย ๆ พฤติกรรมแบบนี้เหมาะกับชั้น 2+ เนื่องจากให้ความคุ้มครองที่ครอบคลุม ในราคาสบายกระเป๋า
มือใหม่หัดขับ/รถใหม่
กรณีที่เป็นมือใหม่ หรือเพิ่มซื้อรถใหม่ที่ไม่ค่อยได้ขับขี่ เหมาะกับประกันรถมอเตอร์ไซค์ ชั้น1 เนื่องจากให้ความคุ้มครองที่ครอบคลุม แม้ว่าจะมีหรือไม่มีคู่กรณีก็ตาม
คนที่ไม่ค่อยได้ขับรถ
หากคุณเป็นอีกหนึ่งคนที่นาน ๆ จะนำรถมอเตอร์ไซค์ออกมาใช้ จะเหมาะกับประกันชั้น 3 เนื่องจากราคาน้อยที่สุด และคุ้มครองน้อยที่สุด เมื่อเกิดอุบัติเหตุบริษัทฯ ก็จะรับผิดชอบความเสียหายแค่รถคู่กรณีเท่านั้น
ชนิดและประเภทของรถมอเตอร์ไซค์
นอกจากพฤติกรรมการใช้รถจะสามารถนำมาประกอบการตัดสินใจ ก่อนเลือกซื้อประกันได้แล้ว “ชนิดและประเภทของรถ” ก็ถือว่ามีความสำคัญไม่แพ้กัน เพราะประกันประเภทต่าง ๆ ก็มีเงื่อนไขความคุ้มครองที่แตกต่างกันออกไป ดังนี้
- รถมอเตอร์ไซค์ขนาดปกติ (น้อยกว่า 500 ซีซี) หรือสกู๊ตเตอร์ ควรเลือกประกันประเภท 2+ / 3+ และ 3 เพราะราคาค่อนข้างประหยัด และให้ความคุ้มครองที่ตอบโจทย์
- รถมอเตอร์ไซค์ขนาดใหญ่ (มากกว่า 500 ซีซี) หรือบิ๊กไบค์ ควรเลือกซื้อประกันประเภท 1 เนื่องจากให้ความคุ้มครองกรณีรถสูญหาย ไฟไหม้ และอื่น ๆ ที่ค่อนข้างครอบคลุม
เปรียบเทียบเงื่อนไขของแต่บริษัทประกัน
ด้วยความที่ในปัจจุบันมีบริษัทประกันรถมอเตอร์ไซค์เป็นจำนวนมาก แถมแต่ละแห่งยังมีเงื่อนไขและข้อยกเว้นต่าง ๆ ที่แตกต่างกันออกไป ดังนั้นหากต้องการได้รับความคุ้มค่ามากที่สุด ควรเปรียบเทียบเงื่อนไขให้ดีก่อน เช่น
ค่าเสียหายส่วนแรก
คือ “ค่าใช้จ่าย” ที่คุณ (ผู้เอาประกัน) ต้องจ่ายให้กับบริษัทก่อนเคลม ในกรณีที่คุณเป็นฝ่ายผิดเมื่อเกิดอุบัติเหตุใด ๆ ก็ตาม แต่ถ้าหากเป็นฝ่ายถูกก็ไม่จำเป็นต้องควักเงินจ่ายในส่วนนี้
ทุนประกัน
คือ “ค่าสินไหมทดแทน” ที่ผู้เอาประกันจะได้รับจากบริษัทฯ เมื่อรถมอเตอร์ไซค์ได้รับความเสียหาย หากทุนประกันที่จะได้รับสูงมากเท่าไหร่ เบี้ยประกันที่ต้องจ่ายก็สูงมากขึ้นเท่านั้น
ความคุ้มครอง
คือ “เงื่อนไขการดูแลค่าใช้จ่าย” ที่บริษัทฯ จะรับผิดชอบให้กับผู้เอาประกัน เช่น ค่าซ่อม ค่าชดเชยที่ครอบคลุมความรับผิดชอบต่อคู่กรณี ค่ารักษาพยาบาล รวมถึงความคุ้มครองเสริมที่ซื้อเพิ่มจากประกันที่มีอยู่แล้ว เช่น ความคุ้มครองในการต่อสู้คดี หรือความคุ้มครองอุบัติเหตุส่วนบุคคล เป็นต้น
ซึ่งทั้งหมดนี้คือเทคนิคการเลือกซื้อประกันรถมอเตอร์ไซค์ ที่คุณไม่ควรมองข้ามไปแม้แต่ข้อเดียว โดยเฉพาะข้อสุดท้ายที่คุณจะต้องเปรียบเทียบรายละเอียดต่าง ๆ ให้ดี เพื่อให้คุณได้รับความคุ้มค่าที่เหมาะสม ไม่เสียผลประโยชน์ที่ควรจะได้รับไปอย่างน่าเสียดาย
เป็นอย่างไรกันบ้าง ? สำหรับ “ทริค” การเลือกซื้อประกันรถมอเตอร์ไซค์ที่เรานำมาบอกต่อเมื่อข้างต้น นับว่าช่องทางการ “เพิ่มความคุ้มครอง” ให้กับรถของคุณได้มากขึ้นใช่ไหมล่ะ ? ซึ่งหากคุณต้องการได้รับความคุ้มครองที่ตอบโจทย์ คุ้มค่า ในราคาสบายกระเป๋า ควรเปรียบเทียบเงื่อนไขและรายละเอียดต่าง ๆ ของแต่ละบริษัทให้ดี เพื่อให้คุ้มกับราคาที่จ่ายไปนั่นเอง