ทำไมเคลมประกันแล้วเบี้ยเพิ่ม ไม่อยากจ่ายแพงทำยังไงดี

แชร์ต่อ
ทำไมเคลมประกันแล้วเบี้ยเพิ่ม ไม่อยากจ่ายแพงทำยังไงดี | มิสเตอร์ คุ้มค่า

ขึ้นชื่อว่า “อุบัติเหตุ” แน่นอนว่าเป็นเรื่องที่ควบคุมได้ยาก แถมเบี้ยประกันรถยนต์ก็เพิ่มสูงขึ้น เนื่องจากแจ้งเคลมบ่อยเกินไป ทำให้หลายคนสงสัยว่าปกติแล้วแจ้งเคลมประกันได้สูงสุดกี่ครั้ง และถ้าเคลมประกันแล้วเบี้ยเพิ่ม จากที่แพงอยู่แล้ว กลับแพงขึ้นไปอีก แบบนี้เปลี่ยนใหม่ได้ไหม มีอะไรที่คนมีรถต้องรู้บ้าง ตามไปหาคำตอบพร้อม ๆ กับ มิสเตอร์ คุ้มค่า กันหน่อยดีกว่า

ปกติแล้วเคลมประกันได้มากสุดกี่ครั้ง ?

เมื่อเริ่มมีคนออกมาถกกันในประเด็น “ เคลมประกันแล้วเบี้ยเพิ่ม ” ทำให้เกิดความสงสัยอยู่ไม่น้อยว่าจริง ๆ แล้วรถยนต์คันโปรดของคุณ สามารถแจ้งเคลมประกันได้มากสุดกี่ครั้งต่อปี จะได้เลี่ยงเหตุการณ์เบี้ยประกันเพิ่มให้มันรู้แล้วรู้รอด คำตอบคือ “ไม่มีการจำกัดจำนวนครั้งในการเคลมต่อปี” เมื่อมีความจำเป็นหรือเห็นสมควร ผู้เอาประกันสามารถแจ้งเคลมได้เลย

ทั้งนี้การแจ้งเคลมบ่อย ๆ อาจมีสิ่งที่ตามมามากมาย โดยเฉพาะเคลมรถ เบี้ยประกันเพิ่ม แต่ถ้าในเมื่อเคลมได้ไม่จำกัดทำไมเบี้ยประกันเพิ่มขึ้นกันล่ะ? หากคุณยังคงคาใจ และรู้สึกว่ากำลังได้รับความไม่เป็นธรรม ถูกบริษัทประกันเอาเปรียบอยู่ ลองไปดูเหตุผลที่เบี้ยประกันรถยนต์เพิ่มขึ้นในหัวข้อถัดไปกันหน่อยดีกว่า

เคลมได้ไม่จำกัด แต่ทำไมเคลมประกันแล้วเบี้ยเพิ่ม ?

อย่างที่ทุกคนเข้าใจตรงกันเสมอมาว่า “ประกันรถยนต์มีบทบาทสำคัญในการ ‘กระจายความเสี่ยง’ และการเคลมประกันถือว่าตอบโจทย์ได้เป็นอย่างดี” แต่ทำไมพอเคลมบ่อย ๆ แล้วเบี้ยเพิ่ม? บริษัทมีเหตุผลอะไร ตามไปดูกันหน่อยดีกว่า

  • 1. ประวัติการขับขี่ไม่ดี

    หากก่อนหน้านี้คุณมีประวัติการขับขี่ดีที่ดี อยู่ในสถานะ “ผู้มีประวัติดีเลิศ” แต่พักหลัง ๆ เริ่มแจ้งเคลมบ่อย กลายเป็นผู้มีประวัติขับขี่ที่ไม่ดี อาจทำให้เบี้ยประกันเพิ่มขึ้นในปีถัดไปได้ เนื่องจากบริษัทมองว่ามีความเสี่ยงที่คุณจะเคลมประกันอีกในอนาคต

    แต่ถึงอย่างนั้นต้องดูกันหน่อยว่าการเคลมบ่อย ๆ ที่ผ่านมา คุณเป็นฝ่ายผิดหรือฝ่ายถูก หากไม่เคยผิดเลยสักครั้ง โอกาสที่เบี้ยประกันรถยนต์เพิ่มจะเท่ากับศูนย์ ในทางกลับกันหากเป็นฝ่ายผิดทุกครั้ง เตรียมรับสภาพได้เลยว่าไม่ได้จ่ายเบี้ยประกันในเรทเดิมแน่ ๆ

  • 2. เคลมบ่อยจนเกินวงเงิน

    เมื่อความประมาททำให้ผู้เอาประกันต้องส่งเรื่องเคลมประกันบ่อย ๆ เดี๋ยวขับชนต้นไม้บ้าง ชนรั้วบ้าง ไปชนคันอื่นอีก เมื่อเกิดเหตุการณ์แบบนี้ขึ้นบ่อย ๆ อาจทำให้บริษัทเริ่มพิจารณาว่า “เจ้าของกรมธรรม์เป็นฝ่ายผิดกี่ครั้ง มีค่าใช้จ่ายในการเคลมประกันเกิน 200% ของเบี้ยประกันรถยนต์หรือไม่”

    เพราะประเด็นหลังจากนี้ อาจไม่ใช่แค่เบี้ยประกันเพิ่มอีกแล้ว แต่อาจลามไปถึงถูกบริษัทปฏิเสธการต่อประกันในปีถัดไป หรือร้ายแรงสุดคือถูกยกเลิกความคุ้มครองแบบยังไม่ครบรอบวันหมดอายุ เนื่องจากเคลมบ่อยจนเกินวงเงินนั่นเอง

เคลมบ่อย เบี้ยประกันเพิ่มขึ้นเท่าไหร่ ?

เมื่อคุณแจ้งเคลมประกันโดยที่เป็นฝ่ายผิด มีค่าเสียหายจากอุบัติเหตุครั้งนั้นเกิน 200% นอกจากจะเสียประวัติแล้ว ยังทำให้ปีถัดไปเบี้ยประกันเพิ่มขึ้นอีกด้วย แถมยังเพิ่มสูงถึง 20% จากเบี้ยประกันรถยนต์ที่คุณต่อประกัน เช่น เบี้ยประกันรถยนต์ในปีต่ออายุ 10,000 บาท + ค่าเสียประวัติ 20% (2,000 บาท) = 12,000 บาท

*หมายเหตุ: หากรถเสียหายเกิน 200% ต่อเนื่อง ติดต่อกันหลายปี ในอนาคตถ้าต้องเคลมรถ เบี้ยประกันเพิ่มขึ้นกว่าเยอะนี้อีกด้วย

ปีก่อนหน้าได้รับส่วนลดประวัติดี ลดหย่อนกันได้ไหม ?

สำหรับคนที่สงสัยว่า “แล้วถ้าปีก่อนหน้าได้รับส่วนลดประวัติดีมาแล้ว แบบนี้จะลดหย่อนกันได้ไหม” คำตอบคือเมื่อมีการเคลมแล้วคุณเป็นฝ่ายผิด จะถูกนับว่าเสียประวัติทันที แต่จะแบ่งการเสียประวัติออกเป็น 2 ขั้น ดังนี้

  • ขั้นที่ 1 : เป็นฝ่ายผิด ความเสียหายไม่เกิน 200% จะถูกลดขั้นประวัติดีลงมา 1 ขั้น
  • ขั้นที่ 2 : เป็นฝ่ายผิด ความเสียหายเกิน 200% จะถูกลดขั้นประวัติดีลงมา 2 ขั้น

ยกตัวอย่างเช่น หากคุณได้รับส่วนลดประวัติดี 30% อยู่ ๆ โดนลดลงมา 1 ขั้น จะเหลือส่วนลดประวัติดีแค่ 20% ในปีต่อมานั่นเอง หมายความว่าสามารถลดหย่อนกันได้นั่นเอง

แจ้งเคลมประกันบ่อย ๆ ส่งผลต่อเบี้ยประกันรถยนต์ปีถัดไปยังไง ?

ถ้าถามว่าการแจ้งเคลมกรณีเป็นฝ่ายผิดบ่อย ๆ รวมถึงความเสียหายมากกว่า 200% จะส่งผลต่อเบี้ยประกันรถยนต์ในปีถัดไปหรือไม่? คำตอบคือส่งผลแน่นอน หลัก ๆ คือเคลมประกันแล้วเบี้ยเพิ่ม แต่จะเพิ่มยังไง ส่งผลมากน้อยแค่ไหน ตามไปดูกันเลย

  • เพิ่ม 20% : ของเบี้ยประกันภัยสุทธิของปีที่ต่ออายุ
  • เพิ่ม 30% : เมื่อเข้าหลักเกณฑ์ข้างต้น เป็นเวลา 2 ปีติดต่อกัน
  • เพิ่ม 40% : เมื่อเข้าหลักเกณฑ์ข้างต้น เป็นเวลา 3 ปีติดต่อกัน
  • เพิ่ม 50% : เมื่อเข้าหลักเกณฑ์ข้างต้น เป็นเวลา 4 ปีติดต่อกันหรือมากกว่า

ไม่อยากจ่ายเบี้ยประกันรถยนต์ชั้น 1 แพงขึ้น เลี่ยงยังไงดี ?

ไม่อยากจ่ายเบี้ยประกันรถยนต์ชั้น 1  แพงขึ้น เลี่ยงยังไงดี ? | มิสเตอร์ คุ้มค่า

เมื่ออ่านมาถึงตรงนี้เชื่อว่ามือใหม่หัดขับหลายคน หรือคนที่ขับขี่ไม่ค่อยระมัดระวัง คงเกิดอากาศร้อน ๆ หนาว กลัวว่าจะต้องจ่ายเบี้ยประกันรถยนต์ชั้น 1 แพงขึ้น หรือมีสิทธิ์ถูกยกเลิกกรมธรรม์สูงใช่ไหมล่ะ? เพื่อไม่ให้เหตุการณ์เหล่านี้เกิดขึ้น มิสเตอร์ คุ้มค่า ลิสต์วิธีหลีกเลี่ยงมาให้แล้ว

  • 1. ประวัติดี ไม่ขับรถชน รถยนต์ไร้รอยขีดข่วน

    ถ้าประวัติการขับขี่ไม่ค่อยดี เฉี่ยว ชน และเคลมบ่อย แต่ไม่อยากให้เบี้ยประกันเพิ่มต้องทำในส่งที่ตรงกันข้าม คือ เพิ่มความระมัดระวังในการขับขี่ให้มากขึ้น พยายามเคลมให้น้อยลง เพื่อเพิ่มโอกาสในการได้รับส่วนลดค่าเบี้ยประกันการขับขี่ที่ดีอีกครั้งในปีถัดไป

    แต่ในความเป็นจริงแล้วมันเป็นเรื่องยากมาก ๆ เพราะต่อให้ระมัดระวังแค่ไหน คันอื่น ๆ อาจประมาทและทำให้คุณต้องแจ้งเคลมอยู่บ่อย ๆ แต่อย่าลืมว่าถ้าคุณไม่ได้แจ้งเคลมเพราะเป็นฝ่ายผิด ประวัติก็จะไม่เสีย แถมโอกาสเบี้ยประกันรถยนต์สูงขึ้นยังเท่ากับศูนย์อีกด้วย

  • 2. ส่วนลดค่าเบี้ยประกันเพิ่มเติม

    วิธีลดค่าเบี้ยประกันรถยนต์ที่ดีที่สุด แถมยังลดความเสี่ยงเคลมประกันแล้วเบี้ยเพิ่ม มีด้วยกันหลากหลายวิธี แต่วิธีที่ถูกแนะนำโดยสำนักงานคณะกรรมการกำกับและส่งเสริมการประกอบธุรกิจประกันภัย (คปภ.) ชี้แจงเอาไว้ คือ “การติดกล้องหน้ารถยนต์” เพื่อรับส่วนลดนั่นเอง

    โดยการติดกล้องหน้ารถยนต์จะลดค่าเบี้ยประกันรถยนต์ ประมาณ 5-10 ของเบี้ยประกันภัยสุทธิ หากบริษัทประกันภัยไม่ยอมลดค่าเบี้ยให้ จะมีโทษปรับไม่เกิน 300,000 บาทเลยล่ะ

  • 3. เปลี่ยนประเภทประกันรถยนต์

    ปฏิเสธไม่ได้เลยว่าการคอนโทรลอุบัติเหตุบนท้องถนน เป็นเรื่องที่ยากเอาเรื่องสุด ๆ ยิ่งถ้าหากคุณเป็นคนที่ไม่ค่อยระมัดระวังในการขับรถ เดี๋ยวขูดกำแพง เดี๋ยวชนขอบทางเท้า ทำให้รถเป็นรอยหรือเกิดอุบัติเหตุยิบย่อยมากมาย

    แนะนำว่าให้ลองเปลี่ยนประเภทประกันที่ตอบโจทย์จะดีกว่า โดยเปลี่ยนจากประเภทกรมธรรม์ที่ใช้อยู่ให้จ่ายค่าเบี้ยถูกลง เช่น เปลี่ยนจากจ่ายเบี้ยประกันรถยนต์ชั้น 1 เป็นประกันชั้น 2+ แทน แต่ต้องแลกมาด้วยความคุ้มครองที่ไม่ครอบคลุมเท่าเดิมหนะสิ แบบนี้คงต้องพิจารณาควบคู่กันให้ดีแล้ว ว่าใช้รถบ่อยแค่ไหน มีนิสัย/พฤติกรรมการขับขี่เป็นอย่างไร และรถมีอายุการใช้งานเท่าไหร่

นอกจากนี้อย่าลืมเช็คเบี้ยประกันรถยนต์ก่อนตัดสินใจเปลี่ยนประกันให้ดีด้วย เพราะแต่ละบริษัทมีค่าเบี้ยประกันรถยนต์แตกต่างกัน แม้จะให้ความคุ้มครองที่ใกล้เคียงสุด ๆ ก็ตาม หรือถ้ายังอยากได้ความคุ้มครองจัดเต็มตามเดิม การเช็คเบี้ยประกันรถยนต์ชั้น 1 ก่อนเปลี่ยนประกันใหม่เป็นสิ่งที่ควรทำด้วยเช่นกัน

ถ้าพูดกันตามตรงหากคุณมีพฤติกรรมการขับขี่ที่ดี ไม่เคยเป็นฝ่ายผิดเลยสักครั้ง (มีแต่คันอื่นมาชน) เหตุการณ์เคลมประกันแล้วเบี้ยเพิ่มจะไม่มีทางเกิดขึ้นเลยแม้แต่น้อย แต่ในทางกลับกัน คุณดันเป็นคนที่ไม่ระวัง ซุ่มซ่ามในการขับรถ ย่อมมีโอกาสเกิดเหตุการณ์เคลมรถ เบี้ยประกันเพิ่มได้ง่าย แนะนำให้เช็คเบี้ยประกันรถยนต์ออนไลน์ให้ดีก่อนเปลี่ยนประกัน แบบนี้จะช่วยเลี่ยงค่าเบี้ยที่เพิ่มขึ้นได้ในระดับหนึ่งเลยล่ะ

คำจำกัดความ
​​ลดหย่อน ​ผ่อนให้เบา หรือน้อยลง, ทุเลา, ผ่อนผัน
​ไม่เป็นธรรม ​ไม่ชอบด้วยเหตุผล, ไม่ยุติธรรม
​เบี้ยประกันภัยสุทธิ ​ค่าปัจจุบันทั้งหมด จะมีค่าเท่ากับ ค่าปัจจุบันของเงินทุนประกันที่บริษัทจะต้องจ่ายให้กับผู้รับประโยชน์ตามที่ตกลงไว้ในสัญญา​

เปรียบเทียบราคา หรือ ต้องการรายละเอียดเพิ่มเติม เจ้าหน้าที่เราพร้อมให้บริการ

บทความที่น่าสนใจ

เพราะเรารู้ว่าคุณรู้สึกสับสนและมึนหัวเพียงใด ในตอนที่ต้องเลือกผลิตภัณฑ์ที่ใช่