หากคุณเป็นอีกหนึ่งคนที่กำลังมองหา “ประกันภัยรถยนต์” ที่ตอบโจทย์ แต่ไม่อยากจ่ายหนักถึงขั้นประกันชั้น 1 ถ้าอย่างนั้นคำตอบของประกันรถยนต์ 2+ และประกันชั้น 2 อาจตอบโจทย์ให้กับคุณได้ในจุดนี้ เนื่องจากความคุ้มครองไม่ได้ต่างกันมากนัก แต่ความต่างของประกัน 2+ และประกันภัยชั้น 2 จะให้ความคุ้มครองที่ตอบโจทย์คุณหรือไม่ ? ตาม MrKumka ไปทำความเข้าใจกันในบทความนี้
ประกันรถยนต์ชั้น 2 และประกันภัยรถยนต์ 2+ คุ้มครองอะไรบ้าง ?
สำหรับคนที่ยังลังเลหรือกำลังหาข้อมูลว่าประกันชั้น 2+ และประกันภัยชั้น 2 คืออะไร ให้ความคุ้มครองอะไรบ้าง ตาม MrKumka ไปทำความเข้าใจกันได้เลย
ความคุ้มครองของประกันภัยรถยนต์ 2+ มีอะไรบ้าง ?
ประกันภัยรถยนต์ 2+ ถือเป็นหนึ่งประกันภัยรถยนต์ที่ให้ความคุ้มครองไม่ต่างจากประกันชั้น 1 เท่าไหร่นัก แต่ประกันรถยนต์ 2+ ราคาถูกกว่าพอสมควร โดยจะให้ความคุ้มครองรถของผู้เอาประกันภัย ทั้งในกรณีรถหาย ไฟไหม้ และกรณีที่เกิดอุบัติเหตุแบบรถชนรถ ซึ่งจะได้รับความคุ้มครองทั้งผู้เอาประกันและคู่กรณี
นอกจากนี้ยังให้ความคุ้มครองต่อบุคคลภายนอก ไม่ว่าจะเป็นชีวิต ร่างกาย และทรัพย์สิน รวมถึงชดใช้ค่าเสียหาย ค่ารักษาพยาบาล และค่าประกันตัวผู้ขับขี่หากเกิดคดีความด้วย แต่ต้องขอย้ำก่อนว่า “ประกันรถยนต์ 2+ จะให้ความคุ้มครองเฉพาะมีคู่กรณีเท่านั้น”
ความคุ้มครองของประกันภัยชั้น 2
ประกันภัยชั้น 2 เป็นประกันรถยนต์ที่ให้ความคุ้มครองรองลงมาจากประกันชั้น 2+ แถมประกันชั้น 2 ราคายังถูกกว่าพอสมควร แต่จะให้ความคุ้มครองเฉพาะกรณีรถหายหรือรถไฟไหม้เท่านั้น หากเป็นอุบัติเหตุอื่น ๆ เช่น รถชนฟุตบาท ต้นไม้ รวมถึงอุบัติเหตุรถชนรถ ประกันจะไม่คุ้มครองหรือรับผิดชอบความเสียหายต่อรถยนต์คันที่เอาประกัน
หมายความว่าประกันจะซ่อมรถให้กับคู่กรณีเพียงอย่างเดียว ในด้านความคุ้มครองบุคคลภายนอก บุคคลภายในรถ ค่ารักษาพยาบาลและทรัพย์สินของคู่กรณี ทางบริษัทประกันจะให้ความคุ้มครองเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว รวมถึงเรื่องการประกันตัวเพื่อสู้คดีอีกด้วย
เทียบให้เห็นภาพชัด ๆ ประกันรถยนต์ 2+ และประกันชั้น 2 ต่างกันยังไง ?
หลังจากที่ได้ทำความเข้าใจความคุ้มครองของประกันชั้น 2+ และประกันรถยนต์ชั้น 2 มาแล้ว แต่ถ้าหากคุณยังมองภาพไม่ออกว่ามันต่างกันยังไง ขอสรุปสั้น ๆ แบบเข้าใจง่ายว่า “แตกต่างกันในเรื่องของความคุ้มครองและราคา” โดยแบ่งรายละเอียดยิบย่อยได้ดังนี้
ประกันภัยรถยนต์ 2+
ให้ความคุ้มครองคล้ายกับประกันชั้น 1 คือ สามารถเคลมประกันกรณีเกิดเหตุรถชนรถ หรืออุบัติเหตุแบบมีคู่กรณีเท่านั้น หากเป็นอุบัติเหตุแบบไม่มีคู่กรณี เช่น ขับรถเฉี่ยวรั้ว ชนกำแพง ปีนฟุตบาทหรือใด ๆ ก็ตาม จะไม่สามารถเคลมประกันได้
ประกันภัยชั้น 2
ประกันภัยชั้น 2 ให้ความคุ้มครองเฉพาะรถยนต์ของคู่กรณี รวมถึงกรณีรถหาย ไฟไหม้เท่านั้น หากเกิดอุบัติเหตุรถชน ทางคู่กรณีจะได้รับความคุ้มครองจากประกันชั้น 2 แต่รถยนต์ของผู้เอาประกันจะต้องออกค่าใช้จ่ายที่เกิดขึ้น (เกี่ยวกับรถยนต์) เองทั้งหมด
ประกันรถยนต์ 2+ เหมาะกับใคร ?
มาถึงตรงนี้หลายคนคงยังไม่หายสงสัยแน่นอน ว่าจริง ๆ แล้วประกัน 2+ เหมาะกับใครบ้าง แต่ไม่ต้องพยายามหาคำตอบด้วยตัวเองให้เสียเวลา เพราะ MrKumka ลิสต์มาให้หมดแล้ว โดยมีรายละเอียดที่น่าสนใจ ดังนี้
รถยนต์ที่มีอายุเกิน 7 ปี
เนื่องจากรถยนต์ที่มีอายุเกิน 7 ปี จะไม่สามารถต่อประกันภัยรถยนต์ชั้น 1 ได้แล้ว แต่ถ้าอยากได้รับความคุ้มครองไม่ต่างจากเดิมสักเท่าไหร่ ประกันภัยรถยนต์ 2+ จะตอบโจทย์ได้ดีที่สุด
ผู้ที่มีความชำนาญในการขับรถ
เนื่องจากผู้ที่มีความชำนาญบางคนมองว่า “ไม่จำเป็นต้องมีความคุ้มครองแบบไม่มีคู่กรณี” ที่มักจะเกิดเหตุการณ์เช่นนี้กับมือใหม่หัดขับ ดังนั้นประกันชั้น 2+ จะตอบโจทย์ได้มากกว่า แถมยังช่วยประหยัดค่าเบี้ยได้มาก เนื่องจากประกันรถยนต์ 2+ ราคาต่ำกว่าชั้น 1 เยอะ
รถยนต์ที่ใช้งานค่อนข้างน้อย
สำหรับรถยนต์ที่ไม่ค่อยใช้งาน เช่น จอดทิ้งไว้ที่บ้านเนื่องจากมีรถหลายคัน การเลือกทำประกันรถยนต์ 2+ ก็ยังตอบโจทย์ได้ดีกว่า เพราะยังให้ความคุ้มครองที่ครอบคลุมไม่ต่างจากชั้น 1 แถมยังช่วยประหยัดค่าเบี้ยได้ดีมาก ๆ เช่นกัน
ประกันชั้น 2 เหมาะกับผู้ขับขี่แบบไหน ?
สำหรับผู้ที่เหมาะสมกับการซื้อประกันชั้น 2 คือ คนที่ไม่ค่อยได้ใช้งานรถยนต์สักเท่าไหร่นัก เช่น ใช้เฉพาะตอนมีเหตุฉุกเฉินหรือเหตุจำเป็นที่ต้องใช้รถจริง ๆ หรือขับเฉพาะละแวกบ้าน ไม่ได้ไปไหนไกลเกินกว่านั้น รวมถึงการขับบนถนนที่คุ้นเคยเส้นทางเป็นอย่างดี มีวินัยในการขับขี่ ไม่ค่อยขับรถไปเกิดอุบัติเหตุ ก็ถือว่าตอบโจทย์ได้ดีมาก ๆ และประกันชั้น 2 ราคาก็มีราคาที่ถูกกว่าอย่างเห็นได้ชัดเมื่อเทียบกับประกันชั้น 1 และประกันภัยรถยนต์ 2+
ประวัติขับขี่ดี มีผลต่อค่าเบี้ยประกันยังไง ?
เชื่อว่าหลายคนพยายามมองหาประกันภัยรถยนต์ ที่มี “ค่าเบี้ยประกันจับต้องได้” โดยเฉพาะประกันภัยรถยนต์ 2+ และประกันรถยนต์ชั้น 2 แต่ถ้าหากอยากได้ “ส่วนลด” ที่เพิ่มขึ้น ประวัติการขับขี่ที่ดี ไม่มีประวัติเคลม ก็เป็นอีกหนึ่งตัวช่วยที่ดีมาก ๆ เช่นกัน
เนื่องจากบริษัทประกันมองว่าผู้เอาประกันมีพฤติกรรมการขับขี่ที่ค่อนข้างระมัดระวัง ช่วยลดโอกาสในการเกิดอุบัติเหตุบนท้องถนนได้เป็นอย่างดี หรือในบางครั้งเมื่อเกิดอุบัติเหตุก็ไม่ใช่ฝ่ายผิด (เขามาชนเรา) แบบนี้ก็ช่วยให้ได้รับส่วนลดประวัติดีในปีต่อไปด้วยเช่นกัน
เลือกซื้อประกันรถยนต์แบบไหน คุ้มค่ามากที่สุด ?
ในปัจจุบันมีประกันภัยรถยนต์ให้เลือกมากมาย โดยเฉพาะประกันภัยชั้น 2 และประกันภัยรถยนต์ 2+ ที่ความคุ้มครองสูสีกันมาก ๆ ดังนั้นหากต้องการซื้อประกันภัยรถยนต์ให้คุ้มค่ามากที่สุด นอกจากจะต้องเช็คราคาประกันรถยนต์แล้ว แนะนำให้พิจารณาจากปัจจัยทั้ง 4 ข้อ ดังต่อไปนี้
1. เลือกบริษัทที่มั่นคง
อันดับแรกให้ลิสต์มาก่อนว่าคุณอยากทำประกัน 2+ หรือประกันภัยชั้น 2 กับบริษัทไหนบ้าง จากนั้นให้ศึกษาในเรื่องของการให้บริการว่าดียังไง เคลมเร็วหรือเปล่า ความหลากหลายในเรื่องของ “แผน/แบบประกัน” รวมถึงศูนย์บริการหรืออู่ซ่อมว่าครอบคลุมทุกพื้นที่หรือไม่ ?
นอกจากนี้อย่าลืมดูในเรื่องของ “ความมั่นคง” ให้ดีด้วย โดยมีวิธีตรวจสอบง่าย ๆ สำหรับบริษัทประกันภัยที่อยู่ในตลาดหลักทรัพย์ สามารถเข้าไปตรวจสอบข้อมูลการเงินได้ที่เว็บไซต์ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย หรือเว็บไซต์สำนักงานคณะกรรมการกำกับ และส่งเสริมการประกอบธุรกิจประกันภัย (คปภ.)
2. เลือกประเภทและความคุ้มครองที่เหมาะสม
นอกจากความมั่นคงของบริษัทประกันจะมีความสำคัญแล้ว การเลือก “ประเภท” ของประกันภัยก็มีความสำคัญไม่แพ้กัน ควรเลือกประกันที่ให้ความคุ้มครองเหมาะสมกับการใช้งานของตัวเอง ด้วยการสำรวจว่าใช้รถบ่อยแค่ไหน ขับเร็วหรือเปล่า นอกจากนี้ยังรวมถึงระยะทางในการขับรถ เช่น ขับรถแถวบ้านเป็นส่วนใหญ่หรือขับรถออกต่างจังหวัด อายุรถ รวมถึงเพื่อนร่วมทางว่าปกติขับคนเดียวบ่อย หรือมักมีสมาชิกครอบครัวนั่งไปด้วยเสมอ
เพราะการสำรวจปัจจัยต่าง ๆ ต่อไปนี้ จะช่วยให้คุณตัดสินใจเลือกทำประกันภัยรถยนต์ 2+ และประกันรถยนต์ชั้น 2 ได้ง่าย และตอบโจทย์มากกว่าเดิม แนะนำว่าอย่าเพิ่งด่วนตัดสินใจมากจนเกินไป เพราะถ้าหากตัดสินใจพลาดขึ้นมา บอกเลยว่า “ได้ไม่คุ้มเสีย” แน่นอน
3. ศึกษาและทำความเข้าใจประกันที่จะซื้อ
ไม่ว่าคุณจะสนใจทำประกัน 2+ หรือประกันภัยชั้น 2 ก็ตาม สิ่งที่ควรทำมากที่สุดคือ “ศึกษาเงื่อนไขที่ให้ความคุ้มครอง และข้อยกเว้น” ให้ดี เพราะประกันภัยรถยนต์มีคำเฉพาะหลาย ๆ คำ ที่ควรทำความเข้าใจให้ดีก่อน ไม่อย่างนั้นอาจเสียผลประโยชน์ได้แบบไม่รู้ตัว เช่น คำว่าค่าเสียหายส่วนแรก ส่วนลดค่าเบี้ยประกัน เป็นต้น
ยิ่งถ้าหากตัดสินใจทำประกันกับตัวแทนที่ไม่มีจรรยาบรรณ บอกรายละเอียดไม่ครบถ้วน บอกเลยว่าเสี่ยงต่อการโดน “หลอกขาย” ไม่รู้ตัว แถมยังมีโอกาสได้รับความคุ้มครองที่ไม่ตอบโจทย์เอามาก ๆ สุดท้ายจึงกลายเป็นว่าเสียทั้งผลประโยชน์ และเสียค่าใช้จ่ายเกินความจำเป็น
4. เปรียบเทียบราคาก่อนตัดสินใจ
ในส่วนของคำว่า “ราคา” เหมารวมถึงทุกกรณี ไม่ว่าจะเป็นการทำประกันครั้งแรกสำหรับรถใหม่ หรือการต่อประกันรถยนต์ การซื้อประกันผ่านโบรกเกอร์ ทั้งผ่านช่องทางออนไลน์ ผ่านเคาน์เตอร์ธนาคาร หรืออื่น ๆ แนะนำให้เปรียบเทียบราคาให้ดีก่อนตัดสินใจ เพื่อผลประโยชน์สูงสุดของตัวผู้เอาประกันเอง >
ในปัจจุบันมีบริษัทประกันหลายแห่งหลากหลายแบรนด์ให้คุณเลือก และพยายามเสนอโปรโมชั่นดี ๆ ของประกันรถยนต์ 2+ และประกันชั้น 2 กันมากขึ้น ไม่ว่าประกันทั้ง 2 แบบจะมีราคาที่ล่อตาล่อใจมากแค่ไหน แนะนำว่า! ควรเลือกซื้อย่าง “สมเหตุสมผล” และอย่าได้ด่วนตัดสินใจจนเกินไป เปรียบเทียบประกันรถยนต์ก่อนซื้อให้ถี่ถ้วน เพราะ ประกันภัยรถยนต์ 2+ และประกันรถยนต์ชั้น 2 ส่งผลต่อความคุ้มครองโดยตรง หากเลือกดีจะช่วยเซฟค่าใช้จ่ายได้เยอะมาก ๆ เลยล่ะ แต่ถ้าเลือกพลาดความคุ้มครองไม่ครอบคลุมเพียงพอก็อาจต้องมานั่งเสียดายภายหลัง
คำจำกัดความ
ผู้เอาประกัน | คนที่ทำประกันและได้รับความคุ้มครองเมื่อป่วย, เกิดอุบัติเหตุ, หรือเสียชีวิต ในบทความนี้หมายถึงผู้ที่ทำประกันภัยรถยนต์ที่จะได้รับ “ค่าสินไหมทดแทน” กรณีรถยนต์ได้รับความเสียหายเนื่องจากอุบัติเหตุ รถหาย ไฟไหม้ ฯลฯ |
ประกันตัวผู้ขับขี่ | ความคุ้มครองที่บริษัทประกันรถยนต์มอบให้กับผู้เอาประกันกรณีที่อุบัติเหตุที่เกิดขึ้น ร้ายแรงจนถึงขั้นเป็นคดีความหรือมีการเสียชีวิต หากผู้เอาประกันเป็นฝ่ายผิด ถูกเจ้าหน้าที่ตำรวจควบคุมตัว บริษัทฯ จะดำเนินเรื่องขอประกันตัวผู้ขับขี่เพื่อรอขึ้นศาลและต่อสู้คดีตามขั้นตอนตามกฎหมายต่อไป |