ชีวิตคนเมืองที่ทุกวินาทีเร่งรีบไปหมด หนึ่งในตัวเลือกที่ดีและช่วยผ่อนแรงได้เยอะ เป็นอื่นใดไปไม่ได้นอกจาก คาร์แคร์ บริการดูแลรักษารถโดยมีผู้เชี่ยวชาญดูแล และทำความสะอาดรถคันโปรดของคุณ แต่จะเกิดอะไรขึ้นถ้ารถเป็นรอยจากการใช้บริการดังกล่าว แบบนี้ใครต้องเป็นฝ่ายรับผิดชอบ แล้วประกันรถยนต์จะรับเคลมไหม ? มิสเตอร์ คุ้มค่า หาคำตอบมาให้แล้ว ตามไปดูกันเลย
ใช้บริการคาร์แคร์ดีกว่าล้างรถเองยังไง ?
หลายคนที่ไม่ได้ยุ่งขนาดนั้น หรือชอบการล้างรถเองมากกว่า ก็คงเกิดความสงสัยอยู่ไม่น้อยว่าการนำรถไปใช้บริการที่คาร์แคร์มันดีกว่าล้างเองตรงไหน? แน่นอนว่าคำตอบไม่ตายตัว ขึ้นอยู่กับความพึงพอใจของผู้ใช้บริการเป็นหลัก แต่เพื่อให้คุณเห็นภาพชัดมากขึ้น เราจะพาไปเปรียบเทียบข้อดีและข้อสังเกตกัน จะมีอะไรบ้าง ? ตามไปดูกันเลย
ข้อดีของการใช้บริการคาร์แคร์
อย่างที่บอกไปตั้งแต่แรกแล้วว่า “คาร์แคร์” หรือบริการดูแลรักษารถโดยผู้เชี่ยวชาญ ดังนั้นสถานที่แห่งนี้จึงมีเครื่องมือที่ใช้ดูแลและทำความสะอาดรถมากกว่าล้างเองเป็นไหน ๆ ช่วยให้ล้างได้สะอาด รวดเร็ว แถมประหยัดเวลาได้ค่อนข้างมาก ใช้บริการได้อย่างอุ่นใจ หายห่วง โดยเฉพาะเมื่อเลือกใช้บริการกับคาร์แคร์ที่มีมาตรฐาน มีความเป็นมืออาชีพ
ข้อจำกัดของการใช้บริการคาร์แคร์
ด้วยความที่คาร์แคร์เป็นบริการอีกรูปแบบหนึ่ง แน่นอนว่าต้องมี “ค่าใช้จ่าย” ตามมาด้วย แต่ละที่จะมีการคิดค่าบริการแตกต่างกันออกไป แต่ส่วนใหญ่จะอยู่ที่หลักร้อย++ ขึ้นอยู่กับปัจจัยต่าง ๆ เช่น ประเภทรถ ประเภทการใช้บริการ และอื่น ๆ
นอกจากค่าบริการแล้ว ยังมีความเสี่ยงในด้านอื่น ๆ เพราะคุณไม่มีทางรู้เลยว่าพนักงานคาร์แคร์มีความชำนาญ และมีความเป็นมืออาชีพมากแค่ไหน หากเจอร้านที่ไม่ได้มาตรฐาน หรือพนักงานทำงานชุ่ย ๆ แบบขอไปที ก็อาจเสี่ยงเกิดเหตุการณ์รถเป็นรอยเนื่องจากความสะเพร่าก็เป็นได้
จะเห็นได้ว่าการใช้บริการคาร์แคร์นั้น มีทั้งข้อดีและข้อสังเกตที่แตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง แนะนำว่าให้ลองชั่งน้ำหนักด้วยตัวเองให้ดีก่อน ว่าข้อดีตอบโจทย์แค่ไหน และยอมรับข้อสังเกตที่ ‘อาจ’ เกิดขึ้นได้หรือไม่ โดยเฉพาะกรณีรถเป็นรอย เพื่อให้คุณตัดสินใจได้อย่างมีประสิทธิภาพ และจะได้ไม่ต้องมานั่ง “รู้งี้ไม่ไปตั้งแต่แรกดีกว่า” ในภายหลัง
ก่อนนำรถไปใช้บริการคาร์แคร์ ควรรู้อะไรบ้าง ?
ในปัจจุบันแทบทุกพื้นที่ ไม่ว่าจะเป็นปั๊มน้ำมัน ห้างสรรพสินค้า หรือแม้กระทั่งตามท้องถนน ก็มีคาร์แคร์เปิดให้บริการเต็มไปหมด แน่นอนว่าเจ้าของรถทุกคนควรเลือกใช้บริการกับคาร์แคร์ที่มีคุณภาพ เพื่อป้องกันปัญหาอื่น ๆ ที่อาจตามมา หากไม่อยากเผชิญหน้ากับการใช้บริการ เรามีข้อควรรู้มาบอกต่อ ดังนี้
- ก่อนนำรถเข้าใช้บริการล้างอัดฉีดกับคาร์แคร์ที่ไหนก็ตาม ให้เก็บทรัพย์สินมีค่าต่าง ๆ รวมถึงเอกสารสำคัญทั้งหมดออกจากรถ
- ก่อนล้างรถ ควรถ่ายรูปรถยนต์แบบกว้าง ๆ ไว้ทั้ง 4 ด้าน เพื่อใช้เป็นหลักฐาน
- หากใช้บริการไม่นาน เช่น ล้างหรือดูดฝุ่นทั่วไป แนะนำให้รออยู่ที่รถ เพื่อป้องกันการถูกโจรกรรมหรือถูกแอบอ้าง
- หากจำเป็นต้องเคลื่อนย้ายรถ แนะนำให้ทำด้วยตัวเองจะดีที่สุด แต่ถ้าไม่สามารถทำได้ควรกำชับพนักงานว่า “ให้ระวังเป็นพิเศษ” พร้อมจับตามองตลอด เพราะอาจเกิดเหตุการณ์เฉี่ยวชนกับรถคันอื่น ๆ ได้
- หลังจากล้างรถเสร็จแล้ว ควรเดินตรวจเช็คสภาพรถรอบคัน ว่ารถเป็นรอยหรือไม่ หรือไม่มีความเสียหายใด ๆ ระหว่างที่รถยังอยู่ในร้าน
ทั้งหมดนี้คือคำแนะนำเบื้องต้น ที่คนที่อยากใช้บริการคาร์แคร์ควรใส่ใจให้มาก ๆ แม้จะดูเหมือนว่ายุ่งยาก และเรื่องเยอะไปหน่อย แต่ถ้าไม่อยากให้เกิดปัญหาต่าง ๆ ตามมา ก็จำเป็นต้องทำ ดีกว่าเกิดปัญหาแล้วมานั่งแก้ทีหลัง
คาร์แคร์ทำรถเป็นรอย เคลมประกันได้ไหม แล้วใครต้องรับผิดชอบ ?
ในกรณีที่คุณระวังแทบทุกอย่างเป็นอย่างดี แต่สุดท้ายพนักงานในคาร์แคร์ก็ทำรถคันโปรดเป็นรอยซะได้ แบบนี้ใครจะรับผิดชอบ ? คำตอบคือ ร้านคาร์แคร์ต้องเป็นฝ่ายรับผิดชอบความเสียหายที่เกิดขึ้น โดยคุณอาจลองเจรจากับทางร้านดูก่อนว่ามีประกันหรือไม่ ? เนื่องจากร้านที่มีมาตรฐานส่วนใหญ่ มักจะทำประกันสำหรับชดเชยความเสียหายให้กับลูกค้าอยู่แล้ว
และในส่วนของการเคลมประกัน หากรถคันโปรดของคุณทําประกันรถยนต์ชั้น 1 อยู่แล้ว ก็ไม่ต้องกังวล หรือนั่งปวดหัวกับเรื่องนี้เลย เนื่องจากสามารถเคลมประกันไม่มีคู่กรณีได้ แต่จะต้องควักจ่ายค่าเสียหายส่วนแรกเอง (ในส่วนนี้อาจคุยให้คาร์แคร์เป็นฝ่ายรับผิดชอบได้)
ความเชื่อผิด ๆ เกี่ยวกับการล้างรถ เสี่ยงรถเสียหายไม่รู้ตัว
กรณีที่ไม่อยากนำรถไปใช้บริการคาร์แคร์ หรือมีเวลาล้างรถเอง ลองสำรวจตัวเองดูสิว่ายังมี “ความเชื่อแบบผิด ๆ เกี่ยวกับการล้างรถ” อยู่หรือเปล่า? เพราะถ้าเป็นแบบนั้นอาจทำให้รถได้รับความเสียหาย มีริ้วรอยเล็ก ๆ น้อย ๆ กวนใจแบบไม่รู้ตัว ความเชื่อผิด ๆ ที่ว่านั้น จะมีอะไรบ้าง ตามไปดูกันเลย
ฝนตกไม่ต้องล้าง เพราะรถสะอาดแล้ว
ความเชื่อผิด ๆ ข้อแรกที่บอกเลยว่าทำกันแทบทุกคน จริง ๆ แล้วรถที่ผ่านฝนมาไม่ได้สะอาดเลยสักนิด เพราะคราบน้ำที่ติดอยู่บนตัวรถ เมื่อไม่ได้เช็ดให้แห้ง หรือไม่ได้ล้างรถให้สะอาด จะทำให้คราบดังกล่าวยิ่งแห้ง และติดเกรอะกรังกับตัวรถจนกลายเป็นสิ่งสกปรกไม่พึงประสงค์
ฉีดน้ำแรง ๆ ช่วยให้รถสะอาดขึ้น
การฉีดน้ำแรง ๆ เพื่อหวังให้คราบสกปรกต่าง ๆ ออกได้ง่าย และรวดเร็วมากขึ้น แท้จริงแล้วเป็นพฤติกรรมทำลายสีและพื้นผิวรถโดยไม่รู้ตัว หากต้องการกำจัดคราบฝังแน่น แนะนำให้ใช้น้ำยาล้างรถที่มีคุณภาพ และใช้ผ้าหรือฟองน้ำขัดออกจะดีกว่า
ล้างรถตอนกลางคืนดีกว่า
การล้างรถตอนกลางไม่ได้ทำให้รถสะอาดกว่าตอนกลางวัน แถมยังเสี่ยงต่อการทำให้รถเป็นรอย และเกิดสนิมอีกด้วย เพราะถ้าหากเช็ดคราบน้ำไม่สะอาด หรือมีคราบน้ำเกาะในบริเวณที่มองไม่เห็น จะทำให้เกิดเป็นสนิมได้เร็วมากขึ้น
ล้างเสร็จปุ้บ เอาออกไปขับปั้บ ช่วยให้แห้งเร็วขึ้น
บอกไว้ตรงนี้เลยว่าการขับรถโต้ลม เพื่อหวังให้รถที่เปียกแห้งเร็วขึ้น ถือเป็นการทำลายรถแบบไม่รู้ตัว เนื่องจากบริเวณ เช่น ตามซอกบางจุดที่ยังมีคราบน้ำติดอยู่ เมื่อปล่อยทิ้งไว้โดยไม่เช็ดให้แห้งในทันที อาจทำให้เป็นสนิมได้ นอกจากนี้ยังเป็นการสิ้นเปลืองน้ำมันโดยใช่เหตุอีกด้วย
ใช้น้ำยาอะไรล้างก็เหมือน ๆ กัน
หนึ่งในความเชื่อผิด ๆ ที่หลายคนมักมองข้าม และทำมาตลอดคือใช้น้ำยาอะไรก็ได้ล้างรถ โดยเฉพาะน้ำยาล้างจานที่มีทุกบ้าน บอกเลยว่าเป็นความเชื่อที่ผิดมหันต์ เพราะสารเคมีจากน้ำยาเหล่านี้ เป็นศัตรูกับสีรถมากที่สุด แถมยังทิ้งคราบหลงเหลือไว้บนตัวรถอีกด้วย
รถเป็นรอย เคลมสดหรือเคลมแห้งดีกว่า ?
หลังจากที่ได้คำตอบแล้วว่าเมื่อคาร์แคร์ทำรถเป็นรอย สามารถแจ้งเคลมประกันได้ แต่หลายคนก็คงเกิดคำถามตามมา ว่าควรเคลมสดหรือเคลมแห้งดี ? ในส่วนนี้ขึ้นอยู่กับความพึงพอใจของผู้เอาประกันแต่ละบุคคล เราจะอธิบายให้เห็นภาพชัดขึ้น ดังนี้
เคลมสด
ในกรณีที่ซีเรียสกับริ้วรอยที่เกิดขึ้นบนตัวรถมาก ๆ โดยไม่ได้กังวลว่าการเคลมบ่อย ๆ จะเสียประวัติหรือไม่ ค่าเบี้ยประกันในปีถัดไปจะแพงขึ้นกว่าเดิมหรือเปล่า การ “เคลมสด” เป็นหนึ่งในตัวเลือกที่ตอบโจทย์มาก ๆ แจ้งเคลมปุ้บ รถหายเป็นรอยปั้บ
ทั้งนี้ควรเปรียบเทียบให้ดีซะก่อน ว่าระหว่างความสบายใจที่รถไม่เป็นรอย vs ผลกระทบอื่น ๆ ที่อาจตามมา เช่น เคลมประกันบ่อย ค่าเบี้ยประกันปีถัดไปแพงขึ้น แถมยังเสียประวัติโดยใช่เหตุ การเคลมสดของคุณในครั้งนี้ก็อาจเป็นการตัดสินใจที่ผิดพลาดได้เช่นกัน
เคลมแห้ง
แต่ถ้าคุณไม่อยากมีประวัติการแจ้งเคลมบ่อย ๆ การเลือกเคลมประกันแบบ “เคลมแห้ง” เป็นตัวเลือกที่ดีกว่า อาจจะรอให้มีร่องรอยอื่น ๆ เพิ่มก่อนแล้วค่อยแจ้งเคลมก็ได้ นอกจากจะเคลมรอบเดียวจบ ไม่ต้องเสียเวลารอรถจัดซ่อมนานแล้ว ยังไม่ต้องมานั่งปวดหัวกับค่าเบี้ยที่เพิ่มสูงขึ้น เนื่องจากเคลมบ่อย ๆ
แต่การเคลมแบบนี้ผู้เอาประกันจะต้องควักจ่ายค่าเสียหายส่วนแรก เนื่องจากเป็นการเคลมประกันไม่มีคู่กรณี ส่วนใหญ่จะอยู่ที่ประมาณ 1,000-3,000 บาท ขึ้นอยู่กับเงื่อนไขที่ระบุไว้ในกรมธรรม์ แนะนำว่าก่อนทำประกันนอกจากจะเช็คเบี้ยประกันรถยนต์แล้ว ยังควรเช็ครายละเอียดและเงื่อนไขในส่วนนี้ให้ดีด้วย
การใช้บริการคาร์แคร์เป็นหนึ่งในตัวช่วยชั้นเยี่ยม สำหรับคนที่ไม่ค่อยมีเวลา หรือไม่สะดวกล้างรถเอง เพราะมีบริการที่ค่อนข้างหลากหลาย ทำความสะอาดและดูแลรถของคุณได้อย่างรวดเร็ว แต่ก็มีบ้างที่บางคาร์แคร์ทำรถเป็นรอย เนื่องจากอุบัติเหตุก็ดี ความหละหลวมก็ดี ในส่วนนี้แนะนำให้ทําประกันรถยนต์ชั้น 1 เอาไว้เลย เพราะให้ความคุ้มครองแบบจัดเต็ม รวมถึงกรณีเคลมประกันไม่มีคู่กรณีด้วย
คำจำกัดความ
ผ่อนแรง | ช่วยให้ออกแรงน้อยลง |
โจรกรรม | การลัก, การขโมย, การปล้น |
แอบอ้าง | นำไปกล่าวอ้างโดยที่เจ้าตัวไม่รู้ |