หยุดก่อน! หากคุณกำลังจะล้างรถด้วยวิธีต่อไปนี้ บอกเลยว่าเสี่ยงเคลมรถรอบคันไม่รู้ตัว แต่ถ้าเผลอล้างรถผิด ๆ ไปแล้ว แถมรถก็เป็นรอยกวนใจเต็มไปหมด แบบนี้เคลมรถรอบคัน ประกันชั้น 1 ได้ไหม มิสเตอร์ คุ้มค่า จะมาคุ้ยกันให้ครบเรื่องล้างรถเอง ทั้งการล้างรถแบบผิด ๆ ที่ควรเลี่ยง ควรล้างแบบไหน ระวังส่วนใด พร้อมความหมายของการเคลมรถรอบคัน รวมถึงค่า excess เคลมรอบคันว่าต้องจ่ายหรือไม่ ถ้าพร้อมแล้วตามไปทำความเข้าใจเพิ่มเติมก่อนถูฟองน้ำล้างรถกันเลย
รู้จักยัง เคลมรถรอบคันคืออะไร ?
การเคลมรถรอบคันหรือเคลมสีรอบคัน คือ การที่ผู้เอาประกันอยากให้ประกันรถยนต์ที่ซื้อไว้ มาซ่อมรถให้ทั้งคัน ไม่ว่าจะเสียหายจากอะไรก็ตาม เช่น รอยขนแมวต่าง ๆ สีถลอก หรืออุบัติเหตุจากการเฉี่ยวชนรอบ ๆ ตัวรถ
ซึ่งถ้าหากถามว่าเคลมสีรอบคันในครั้งเดียวได้ไหม ? คำตอบคือบริษัทประกันมีเงื่อนไขอยู่ในกรมธรรม์ ในความเป็นจริงรถไม่สามารถเป็นรอยได้ทั้งคันถ้าไม่ประสบอุบัติเหตุรุนแรง แต่ทั้งนี้หากคุณสามารถแจ้งกับบริษัทประกันได้ว่ารอยเกิดจากอะไร และเหตุผลน่าเชื่อถือมากกว่า บริษัทอาจจะมีการพิจารณาให้เคลมสีรถรอบคันได้ ซึ่งหนึ่งในเหตุที่อาจต้องเคลมรอบคันคือการล้างรถที่ผิดวิธี ไปส่องคำตอบชัด ๆ กันก่อนว่าถ้ารถเกิดเป็นรอยจากการล้างรถเนี่ย ประกันรถคุณจะช่วยคุ้มครองไหม
ล้างรถเป็นรอย เคลมรถรอบคัน ประกันชั้น 1 ได้ไหม ?
ในกรณีที่ล้างรถเองแล้วเผลอทำรถเป็นรอย โดยไม่ต้องใจ แล้วเกิดความสงสัยว่า แจ้งประกันชั้น 1 เคลมสีรอบคันได้ไหม ? คำตอบคือสามารถแจ้งเคลมได้ แต่ขอย้ำก่อนว่าเฉพาะประกันรถยนต์ชั้น 1 เท่านั้น โดยเงื่อนไขจะเป็นไปตามการพิจารณาของบริษัทฯ
ในขณะที่ประกันรถยนต์ชั้นอื่น ๆ เช่น ชั้น 2+, 3+, 2 หรือ 3 จะไม่ได้ให้ความคุ้มครองในส่วนนี้ เนื่องจากถือเป็น “การเคลมไม่มีคู่กรณี” หากเกิดความเสียหายเนื่องจากล้างรถเองแล้วมีรอยขีดข่วน หรือสีถลอก ผู้เอาประกันจะต้องรับผิดชอบค่าเสียหายที่เกิดขึ้นเอง
ประกันชั้น 1 สามารถเคลมสีรถรอบคันได้ แล้วจะมีค่าใช้จ่ายเพิ่มเติมอย่างค่า excess เคลมรอบคันหรือไม่ ในส่วนนี้เราเตรียมคำตอบมาให้คุณในหัวข้อถัดไปแล้ว ตามไปทำความเข้าใจกันได้เลย
เคลมรถรอบคัน ต้องจ่ายค่า excess หรือเปล่า ?
สำหรับการเคลมรอบคันมี 4 กรณีที่ต่อให้บอกได้ว่าชนกับอะไร รอยดังกล่าวเกิดจากสาเหตุไหน ก็ต้องเสียค่า excess เคลมรอบคันด้วย ซึ่งจะมีกรณีไหนบ้าง ไปดูกันหน่อยดีกว่า
1. เกิดอุบัติเหตุแล้วรถเสียหาย แต่ไม่สามารถบอกที่มาหรือสาเหตุที่ชัดเจนได้
เช่น เกิดเหตุรถชนจนรถยนต์มีรอยบุบ ร้าว และได้รับความเสียหายอื่น ๆ แต่คุณแจ้งประกันว่า ‘ไม่รู้ว่าไปชนกับอะไรมา และไม่รู้ว่าชนตอนไหน’ บริษัทฯ จะเก็บเงินคุณ 1,000 บาท แล้วถึงจะซ่อมรถให้
2. โดนชนแล้วหนี ประกอบกับจำทะเบียนรถคู่กรณีไม่ได้
หากคุณขับรถอยู่บนถนนปกติ อยู่ ๆ โดนรถที่ไหนไม่รู้ขับมาชนแล้วขับหนีหายไป โดยที่คุณจำทะเบียนไม่ได้ กล้องหน้ารถก็ไม่มี หรือมีแต่ถ่ายไม่เห็น ฯลฯ เมื่อคุณแจ้งเคลมรอบคัน ประกันก็จะเก็บเงินคุณ 1,000 บาทก่อนส่งซ่อมด้วยเช่นกัน
3. รถกระทบกับวัตถุ แล้วไม่ได้ทำให้รถของคุณบุบ แตก หรือร้าว
กรณีที่รถเป็นรอยขนแมวซึ่งเกิดจากรอยขีดข่วนทั่ว ๆ ไป เช่น โดนกุญแจรถขูดขีด หรือรอยจากอุบัติเหตุอื่น ๆ ที่ไม่ได้ทำให้รถบุบ แตก หรือร้าว หากอยากจะซ่อมแซมให้กลับมาสวยงาม เหมือนใหม่อีกครั้ง ประกันจะเรียกเก็บเงินคุณ 1,000 บาทต่อเหตุการณ์ แล้วถึงจะซ่อมให้
4. โดนมุ่งร้าย กลั่นแกล้ง โดยไม่สามารถระบุคนทำได้
เหตุการณ์นี้จะคล้ายกับข้อ 1 และข้อ 2 เมื่อรถโดนขูดให้เป็นรอย โดนทุบกระจกแตก แต่ไม่สามารถบอกที่มาที่ไป หรือไม่สามารถจับคนทำได้ ตรงนี้คุณจะต้องเสียค่า excess 1,000 บาทก่อนที่ประกันจะซ่อมรถให้ด้วยเช่นกัน
ค่า excess เคลมรอบคันคืออะไร มาทำความเข้าใจกันหน่อย
หลังจากที่ได้รู้แล้วว่าเหตุการณ์ไหน จำเป็นต้องจ่ายค่า excess เคลมรอบคันบ้าง เรามาทำความเข้าใจกันหน่อยดีกว่า ว่าค่า excess ที่ต้องจ่ายทีละ 1,000 บาทนั้น มันคือค่าอะไร ? คำตอบคือ เป็นจำนวนเงินที่ต้อง ‘ชำระเพิ่ม’ เมื่อเคลมสีรอบคัน ประกันชั้น 1 รวมถึงการเคลมรูปแบบอื่น ๆ ที่ไม่มีคู่กรณี เช่น ชนเสาไฟฟ้า, ต้นไม้ล้มทับ ฯลฯ ซึ่งค่า excess ส่วนใหญ่จะอยู่ที่ 1,000 บาท
เหตุผลที่แต่ละบริษัทประกันเรียกเก็บค่าเสียหายส่วนแรก (excess) เป็นเพราะบริษัทกลัวว่าผู้เอาประกันจะแจ้งเคลมโดยที่ไม่มีอุบัติเหตุเกิดขึ้นจริง เพื่อมีเจตนาในการซ่อมรถฟรี เช่น อยากทำสีใหม่ก็เอาคัตเตอร์มากรีดให้รถเป็นรอย เป็นต้น
ล้างรถแบบไหน เสี่ยงเคลมรถรอบคันไม่รู้ตัว ?
หลายคนอาจไม่รู้ว่าการล้างรถ ถือเป็นการดูแลสีรถขั้นพื้นฐานที่ทำสม่ำเสมอ แต่ถ้าหากล้างผิดวิธีขึ้นมา อาจทำให้สีรถเสียหายได้เช่นกัน ไปส่องกันหน่อยว่าคุณกำลังล้างรถแบบผิด ๆ อยู่หรือเปล่า
1. ล้างรถทั้งคันโดยไม่ล้างฟองน้ำ
การล้างรถไม่ว่าจะใช้น้ำยาล้างรถ หรือใช้น้ำเปล่าเพียงอย่างเดียว ไม่ควรใช้ฟองน้ำอันเดียวถูทั่วทั้งคันโดยไม่ล้างเป็นระยะ เนื่องจากตัวถังรถส่วนล่างมักมีสิ่งสกปรกขนาดใหญ่ เช่น โคลน, ทราย หรือดินที่ทำให้ตัวถังส่วนอื่น ๆ ถูกขูดขีดจนเป็นรอยได้ ทางที่ดีแนะนำให้ล้างตัวถังส่วนบนก่อน แล้วค่อนข้างส่วนล่าง พร้อมกับล้างฟองน้ำเป็นระยะ ๆ จะลดโอกาสรถเป็นรอยได้
2. ใช้ผงซักฟอกหรือน้ำยาล้างจานในการล้างรถ
กรณีที่น้ำยาล้างรถหมด ไม่ควรใช้น้ำยาล้างจานหรือผงซักฟอกแทนเด็ดขาด เพราะน้ำยาล้างจานมีฤทธิ์รุนแรง จะทำให้แลกเกอร์หรือแว็กซ์เคลือบตัวรถหลุดออก เว้นแต่ว่าคุณตั้งใจจะเคลือบรถด้วยแว็กซ์หลังล้าง แต่ถ้าไม่ได้จะทำแบบนั้น ล้างน้ำเปล่าแทนจะดีกว่า
3. ใช้สายยางพาดตัวรถ
หลายคนเมื่อล้างรถด้วยตัวเองมักยึดเอาความสะดวกเป็นที่ตั้ง ด้วยการพาดสายยางขึ้นไปบนตัวถังรถ ซึ่งวิธีนี้บอกเลยว่าทำให้รถเกิดรอยรุนแรงมากที่สุด เนื่องจากสายยางที่พาดอยู่บนตัวรถมีการขยับเขยื้อน ถูกไปมาบนตัวถังอยู่ตลอด ทางที่ดีควรลอดสายยางใต้ตัวตัวถังรถแทน
4. ใช้เสื้อผ้าเก่า ๆ เช็ดรถ
เสื้อผ้าเก่า ๆ อาจมีตะเข็บหรือป้ายยี่ห้อ ที่ทำให้สีรถยนต์ได้รับความเสียหายได้ แนะนำให้ใช้ผ้าเช็ดรถหรือผ้าชามัวส์จะดีกว่า
5. ใช้ไม้ขนไก่ปัดฝุ่น
ไม่ควรใช้ไม่ขนไก่ปัดฝุ่นแม้ว่ารถจะแห้งอยู่ก็ตาม เนื่องจากจะทำให้เกิดรอยขนแมวได้ ทางที่ดีควรใช้แปรงที่ออกแบบมาสำหรับปัดฝุ่นโดยเฉพาะ หมั่นสะบัดแปรงบ่อย ๆ เพื่อไม่ให้ฝุ่นที่ติดในแปรงทำร้ายสีรถ แถมยังช่วยลดรอยขนแมวได้อีกด้วย
สรุปได้ว่าหากล้างรถผิดวิธีจนทำให้รถเป็นรอยขีดข่วน ไม่สวยงามดังเดิม สามารถแจ้งเคลมรถรอบคัน ประกันชั้น 1 ได้ แต่ผู้เอาประกันต้องควักจ่ายค่า excess เคลมรอบคันเพิ่มเติม หรือถ้าหากต้องการเก็บร่องรอยต่าง ๆ เอาไว้ แล้วแจ้งเคลมรถรอบคันก่อนประกันหมดอายุก็ได้เช่นกัน แต่ในส่วนนี้แนะนำให้สอบถาม หรืออ่านรายละเอียดเงื่อนไขให้ดีก่อน รวมถึงเปรียบเทียบประกันรถยนต์ให้ดีก่อนซื้อด้วย เพื่อป้องกันความเข้าใจที่คลาดเคลื่อนนั่นเอง
คำจำกัดความ
ตัวถังรถ | ส่วนของรถที่ใช้รับน้ำหนักบรรทุก |
ขยับเขยื้อน | เคลื่อนที่, ย้ายที่, เลื่อนที่, กระเถิบออก |
ผ้าชามัวส์ | ผ้าหนังเลียงผา คุณสมบัติโดดเด่นคือดูดซับน้ำได้ดีกว่าผ้าธรรมดาถึง 8 เท่า เช็ดแล้วไม่ทิ้งคราบน้ำ และไม่มีรอยขนแมวบนสีรถ |