ปัจจุบันนี้ การทำประกันโรคร้ายแรง ถือว่าเป็นสิ่งที่มีความจำเป็นต่อคนทุกเพศทุกวัยมาก เพราะคนทุกวัยมีสุขภาพร่างกายที่แตกต่างกัน บางคนที่มีอายุน้อย แต่กลับมีสุขภาพที่ไม่ดี ก็มีมากเช่นเดียวกัน ซึ่งปัจจัยแวดล้อมมีส่วนทำให้คนเหล่านั้นสุขภาพแย่ลงได้ ไม่ว่าจะเป็น ปัญหามลพิษ ฝุ่นควัน หรือแม้แต่อาหารการกินที่ทำให้สุขภาพแย่ลง ด้วยความที่ปัจจัยเหล่านี้ นำมาสู่การเกิดโรคต่างๆ จึงทำให้การทำประกันเป็นสิ่งที่มีความจำเป็นสำหรับคนยุคนี้มากเลยทีเดียว
ประกันโรคร้ายแรง คืออะไร?
ก่อนอื่นเราจะมาทำความรู้จักที่มาก่อนที่จะเป็นประกันเกี่ยวกับการดูแลค่ารักษาโรคร้ายแรง ซึ่งประกันเหล่านี้ ล้วนแล้วแต่มาจากการที่นักวิจัยการตลาด ได้เล็งเห็นถึงความสำคัญของสุขภาพของคนในยุคนี้มากขึ้น โดยเฉพาะอย่างยิ่ง การรักษาตัวกรณีที่เกิดเป็นโรคต่างๆ ที่ร้ายแรง ซึ่งโรคร้ายแรงที่อยู่ในกรมธรรม์ของบริษัทประกันนั้น เราจะอธิบายในลำดับถัดไป
ด้วยความที่โรคเหล่านี้เป็นโรคที่ร้ายแรงและมีอันตรายถึงชีวิต ทำให้อาจจะต้องมีค่าใช้จ่ายในส่วนของค่ารักษาพยาบาลที่มากเกินความจำเป็น ฉะนั้น การทำประกันจึงถือว่าเป็นส่วนหนึ่งของการช่วยบรรเทาค่าใช้จ่ายส่วนนี้ลงไปได้ และที่สำคัญยังช่วยเพิ่มความมั่นใจให้ผู้ที่กำลังป่วยจากโรคดังกล่าวได้ว่าจะรักษาได้อย่างดีที่สุดอีกด้วย
ทำไมคนรุ่นใหม่ถึงควรทำ ประกันภัยโรคร้ายแรง
เชื่อว่าคนรุ่นใหม่อาจจะยังไม่เข้าใจว่า การทำประกันเกี่ยวกับสุขภาพนั้นเป็นสิ่งที่จำเป็นมากแค่ไหน เพราะบางคนอาจจะคิดว่าเป็นเรื่องไกลตัว แต่ความจริงแล้วโรคภัยไข้เจ็บไม่เลือกเพศและวัย และอย่างที่รู้กันดีว่า สถิติของคนที่ป่วยด้วยโรคร้ายแรงนั้น เริ่มมีอัตราความเสี่ยงตั้งแต่วัยรุ่นช่วงก่อนอายุ 25 ปี ไปจนถึงวัยทำงานที่มีความเสี่ยงมาจากปัจจัยแวดล้อมต่างๆ ที่เป็นสาเหตุของการเกิดโรค โดยมีดังต่อไปนี้
-
1. กรรมพันธุ์
ส่วนหนึ่งที่ทำให้เราเกิดโรคภัยร้ายแรง นั้นจะมาจากกรรมพันธุ์ อย่างเช่น โรคมะเร็งบางชนิด หากแม่มีประวัติเป็นโรคมะเร็งดังกล่าวบุตรก็อาจมีความเสี่ยงที่จะเป็นด้วย แต่ยังไม่ถือว่าเป็น 100% ขึ้นอยู่กับภูมิคุ้มกันของตัวเด็กด้วย เป็นต้น ฉะนั้นการเกิดโรคจากกรรมพันธุ์นั้น จึงถือว่ายังไม่ได้เกิดจากโรคเป็นสาเหตุที่ใหญ่สุด
-
2. ปัจจัยแวดล้อมกระตุ้นให้เกิดโรค
สำหรับปัจจัยภายนอกที่ทำให้เกิดโรคนั้นมีหลายอย่าง ไม่ว่าจะเป็นฝุ่นควัน การสูบบุหรี่ไม่ว่าจะเป็นของตัวเองหรือผู้อื่น อาหารการกิน หรือแม้แต่อื่นๆ ก็ตาม สิ่งเหล่านั้นจะเป็นตัวกระตุ้น ทำให้เกิดเป็นโรคที่มีความเสี่ยงให้เกิดอันตรายต่อชีวิตได้ทั้งนั้น
-
3. การหลีกเลี่ยงภาวะความเครียดไม่ได้
ด้วยความที่ผู้ป่วยบางคนอาจจะเคยเป็นโรคไม่ติดต่อชนิดอื่นมาก่อน เช่น โรคหัวใจ เมื่อเกิดภาวะความเครียด ซึ่งส่วนใหญ่เกิดจากการทำงาน ก็อาจจะทำให้เกิดเป็นโรคแทรกซ้อนขึ้นมาได้ เช่น ภาวะหลอดเลือกในสมองแตก ทำให้ต้องมีภาระค่าใช้จ่ายที่มากขึ้นตามไปด้วย
เมื่อคนเหล่านั้นเริ่มเข้าสู่วัยพบปะสังคมมากขึ้น ทำให้มีความเสี่ยงที่จะเกิดโรคได้ง่าย ฉะนั้นจึงไม่แปลกใจเลยที่คนวัยรุ่น เริ่มหันมาใส่ใจเกี่ยวกับสุขภาพ และหันมาศึกษาเรื่องการทำ ประกันภัยโรคร้ายแรง เพื่อลดภาระค่าใช้จ่ายของคนในครอบครัวในกรณีที่เจ็บป่วยนั่นเอง
โรคใดบ้างที่ “สุ่มเสี่ยง” และจำเป็นต้องทำประกันโรคร้ายแรง
คราวนี้เราจะมาดูกันบ้างว่า โรคที่ถือว่าเข้าข่ายเป็นโรคร้ายแรงถึงชีวิต และต้องใช้เงินรักษาพยาบาลเป็นจำนวนมากนั้นมีหลายโรคด้วยกัน ซึ่งจะมี 5 โรคใหญ่ ๆ ที่มีความสุ่มเสี่ยง โดยโรคที่ว่านั้น มีดังต่อไปนี้
-
โรคมะเร็ง
ถือเป็นโรคที่มีผู้ป่วยสูงสุด เพราะโรคนี้จะแบ่งออกเป็นภาวะแทรกซ้อนหลายอย่าง ไม่ว่าจะเป็น มะเร็งเต้านม มะเร็งลำไส้ มะเร็งปอด มะเร็งตับ มะเร็งต่อมน้ำเหลือง และส่วนอื่นๆ ของร่างกายที่ทำให้อันตรายถึงชีวิต
-
โรคหลอดเลือดสมองแตก
ด้วยภาวะการทำงานที่อาจจะทำให้เกิดความเครียด ซึ่งสาเหตุนี้กลายเป็นที่มาของการเกิดโรค เมื่อความเครียดรุมเร้าทำให้เกิดภาวะอื่นแทรกซ้อน จนเกิดอันตรายได้
-
โรคภาวะหัวใจเต้นผิดจังหวะอย่างรุนแรง
ในส่วนนี้เกิดจากอาการแทรกซ้อนของโรคหัวใจ ซึ่งถ้าหากมีภาวะที่เกี่ยวกับหัวใจโต หรือส่วนอื่นๆ ที่ทำให้หัวใจเต้นผิดจังหวะ เมื่ออาการรุนแรงขึ้น ก็ทำให้เกิดอันตรายต่อชีวิตได้เช่นเดียวกัน
-
โรคปอดระยะสุดท้าย
ส่วนโรคนี้ อย่างที่เรากล่าวถึงสาเหตุในข้างต้นว่า เมื่อเราต้องตกอยู่ในสถานการณ์บังคับ เช่น อยู่กับสังคมที่มีความเสี่ยง อาจจะเป็น ควันบุหรี่ หรือ อื่นๆ ที่ทำร้ายปอด เมื่ออยู่ในสถานการณ์นั้นๆ เรื่อยๆ ก็จะทำให้เรื้อรัง และเกิดเป็นโรคปอดที่ยากจะรักษาได้
-
โรคไตวายเรื้อรัง
ส่วนโรคสุดท้ายนี้ เกิดมาจากโรคไตขั้นแรกเมื่อมีอาการที่แย่ลง บวกกับการใช้ชีวิตที่ไม่ได้ช่วยให้ร่างกายดีขึ้นก็จะทำให้เกิดโรคเรื้อรัง อันจะเป็นสาเหตุของการเสียชีวิต ได้เช่นกัน ฉะนั้น โรคดังกล่าวก็ถือว่าสุ่มเสี่ยงและรุนแรง
จะเห็นได้ว่า จากอาการของโรคที่พัฒนาไปสู่ภาวะที่แย่ลงทำให้ผู้ป่วยต้องใช้เงินในการรักษาตัว เพราะฉะนั้นการเล็งเห็นถึงการทำประกันการทำประกันมะเร็งกับบริษัทประกันวินาศภัย และบริษัทประกันชีวิต จึงเข้ามามีส่วนช่วยให้ผู้ป่วยเหล่านั้น สามารถใช้ชีวิตต่อได้ โดยไม่ต้องกังวลเรื่องค่ารักษาพยาบาลอีกต่อไป
และทั้งหมดที่เรากล่าวไปข้างต้นนั้น ก็พอที่ทำให้ทุกคนตระหนัก และใส่ใจต่อการดูแลสุขภาพของตัวเองมากขึ้น ซึ่งการทำประกันโรคร้ายแรงหรือประกันโรคมะเร็งไว้นั้น ก็ถือว่าเป็นการป้องกันตัวอย่างหนึ่ง อย่างน้อยเมื่อคนรุ่นใหม่ต้องใช้ชีวิตที่ยังคงมีแต่สิ่งกระตุ้นให้เกิดโรคได้ การลดภาระค่าใช้จ่ายในกรณีที่เป็นโรคดังกล่าว ก็ช่วยให้คนเหล่านั้นมีชีวิตที่ดีขึ้นได้นั่นเอง