เปรียบเทียบประกันสุขภาพ OPD กับ IPD ความต่างอย่างไร ? ต้องรู้อะไรบ้าง ?

แชร์ต่อ
เปรียบเทียบความต่างระหว่าง ประกันสุขภาพ OPD กับ IPD

อยากสร้างสวัสดิการให้กับชีวิต เพิ่มความอุ่นใจกับทุกไลฟ์สไตล์แบบไม่ต้องกลัวเรื่องเจ็บป่วย ต้องหาข้อมูล ประกันสุขภาพ OPD กับ IPD ความต่างอย่างไร ให้ดีก่อน ว่าทั้ง 2 แบบคืออะไร ? ต่างกันยังไง ? เพื่อที่จะได้นำข้อมูลไป “ประกอบการตัดสินใจ” ก่อนเลือกซื้อประกันสุขภาพ หากคุณเป็นอีกหนึ่งคนที่กำลังหาข้อมูลในส่วนนี้ แต่ไม่มีเวลา ไม่ต้องกังวล เพราะ MrKumka ได้รวบรวมประเด็นที่น่าสนใจมาให้คุณแล้ว ไปดูกันเลย

ศัพท์น่ารู้ก่อนหาข้อมูล OPD กับ IPD ความต่างอย่างไร ?

เชื่อว่าหลายคนเมื่อหาข้อมูล “ประกันสุขภาพ” ล้วนต้องเจอกับคำศัพท์ที่ไม่คุ้นเคยอย่าง OPD และ IPD แน่นอน ซึ่งทั้ง 2 คำนี้คืออะไร เหมือนหรือแตกต่างกันยังไง ไปดูกันเลย !

OPD คืออะไร ?

OPD คือ “ผู้ป่วยนอก” ซึ่งเป็นคำศัพท์ทางการแพทย์ ย่อมาจากคำว่า Out Patient Department พูดง่าย ๆ ว่าเข้ามารักษาแต่ไม่ได้นอนพักรักษาในโรงพยาบาล (แอดมิด) เมื่อรับการวินิจฉัยเสร็จสามารถกลับบ้านได้ทันที ส่วนใหญ่จะเป็นผู้ป่วยที่ไม่ได้มีปัญหาสุขภาพร้ายแรง เช่น หกล้ม อุบัติเหตุเล็ก ๆ น้อย ๆ ปวดท้อง ปวดหัว เป็นหวัด เป็นต้น

IPD คืออะไร ?

IPD คือ “ผู้ป่วยใน” ย่อมาจากคำว่า In Patient Department ลักษณะของผู้ป่วยจะ “ตรงข้าม” กับ OPD ลักษณะคือเข้ารับการรักษาภายในโรงพยาบาล ‘ไม่น้อยกว่า’ 6 ชั่วโมง และหลังจากเข้ารับการวินิจฉัยแล้ว แพทย์ลงความเห็นว่าจะต้องนอนพักรักษาตัว (แอดมิด) ไม่สามารถกลับบ้านได้ทันที ส่วนใหญ่จะเป็นโรคที่มีอาการรุนแรง ต้องมีพยาบาลหรือแพทย์ดูแลอย่างใกล้ชิด และดูแลมากกว่า 6 ชั่วโมงขึ้นไป

*หมายเหตุ: “ผู้ป่วยใน” ในที่นี้ ไม่รวมกับการรับผู้ป่วยเอาไว้ (แอดมิด) แต่เสียชีวิตก่อนครบ 6 ชั่วโมง

พอจะเห็นภาพคร่าว ๆ บ้างแล้วใช่มั้ยล่ะ ว่าทั้ง 2 แบบมีความแตกต่างกันยังไง ? ถ้าอย่างนั้นเรามาดู “หลักการพิจารณา” ก่อนเลือกซื้อประกันสุขภาพกันต่อเลยดีกว่า เพื่อให้คุณเลือกซื้อ “ความคุ้มครอง” ที่ตอบโจทย์และอุ่นใจมากที่สุด

อยากได้ “ประกันสุขภาพ” ที่ตอบโจทย์ ต้องพิจารณาอะไรบ้าง ?

หากต้องการประกันสุขภาพที่ตอบโจทย์ ควรเลือกซื้อประกันสุขภาพอย่างไร

การเลือกซื้อประกันสุขภาพ ถือเป็น “เรื่องสำคัญ” ที่ต้องพิจารณาอย่างถี่ถ้วน ยิ่งวัยทำงานต้องรับผิดชอบตัวเองแบบเต็มตัว และตัดสินใจอย่างรอบคอบ เพราะเป็นการซื้อ “ความคุ้มครอง” ให้สุขภาพของคุณ ซึ่งจะต้องพิจารณาจากอะไรบ้าง ไปดูกันเลย !

แผนประกันสุขภาพ

ก่อนอื่นต้องทำความเข้าใจ “แผนประกัน” ให้ดีก่อน ว่ามีแผนอะไรบ้าง ให้ความคุ้มครองที่ครอบคลุมหรือไม่ เพื่อให้คุณได้ความคุ้มครองที่ตอบโจทย์มากที่สุด และถ้าหากเจอกรมธรรม์ที่ให้ความคุ้มครองทั้งผู้ป่วยในและผู้ป่วยนอก อย่าเพิ่งตัดสินใจซื้อเด็ดขาด เพราะต้องดูความคุ้มครองอื่น ๆ ให้ถี่ถ้วนด้วยเช่นกัน เช่น ค่าห้อง ค่าชดเชยรายได้ ค่ารักษาพยาบาลด้านต่าง ๆ ว่าตรงตามที่คุณตั้งเป้าหมายเอาไว้หรือไม่

เบี้ยประกัน

อีกหนึ่งสิ่งที่มองข้ามไม่ได้เลยคือ “ค่าเบี้ยประกันที่ต้องจ่าย” ว่าคุณสามารถจ่ายค่าเบี้ยจนครบสัญญาได้มั้ย เพราะการเวนคืนไม่ได้คุ้มค่าอย่างที่หลายคนเข้าใจ ดังนั้นนอกจากจะเลือกแผนประกันที่ครอบคลุมแล้ว อย่าลืมมอง “ค่าเบี้ย” ตามแผนประกันนั้น ๆ ให้ดีด้วย

โรงพยาบาลที่เข้าร่วม

เพื่อความสะดวกสบาย และความรวดเร็วในการเข้ารับบริการในโรงพยาบาล แนะนำว่าควร เลือกซื้อประกันสุขภาพที่มีโรงพยาบาล “คู่สัญญา” เยอะ ๆ ยิ่งครอบคลุมทั่วทั้งประเทศยิ่งดี ไม่ว่าจะเป็นโรงพยาบาลใกล้บ้าน หรือโรงพยาบาลที่มีคุณภาพ หมอพร้อม เครื่องมือล้ำสมัย เพื่อให้คุณเข้ารับการรักษาได้อย่างทันท่วงที ไม่ต้องเดินทางไปไหนไกล

การให้บริการ

เพราะประกันสุขภาพมีรายละเอียดที่ยิบย่อยมากมาย คงจะดีไม่ใช่น้อยหากบริษัทประกันที่คุณสนใจ สามารถตอบคำถามหรือให้ข้อมูลต่าง ๆ ได้ตลอด 24 ชั่วโมง ในส่วนของขั้นตอนการเคลมก็ไม่ซับซ้อน มีช่องทางการแจ้งเคลมที่หลากหลายเพื่อเพิ่มความสะดวกสบายให้คุณได้อย่างถึงที่สุด

ทั้งหมดนี้คือปัจจัยสำคัญที่คุณควรพิจารณาให้ดี เพื่อให้ได้รับความคุ้มครองที่ตอบโจทย์ และตรงตามความต้องการมากที่สุด แต่ถ้าหากจะถามว่า “ควรเลือกซื้อกรมธรรม์ไหนดี” ในส่วนนี้คุณจะเป็นคนที่สามารถตอบคำถามได้ดีที่สุด แต่ถ้าหากยังคงลังเล สามารถขอคำปรึกษาได้ตลอด 24 ชั่วโมง ที่เว็บไซต์ MrKumka.com

ประกัน OPD แบบแยกค่าใช้จ่าย VS เหมาจ่าย

อีกหนึ่งสิ่งที่ควรทำความเข้าใจคือ “รูปแบบ” การให้ความคุ้มครองของประกันผู้ป่วยนอก เพราะมีให้เลือก 2 แบบ คือ แบบแยกค่าใช้จ่ายและแบบเหมาจ่าย หากส่วนใหญ่คุณเจ็บป่วยเล็ก ๆ น้อย ๆ หรืออยากซื้อประกันสุขภาพ ‘เพิ่มเติม’ จากของเดิมที่มีอยู่ เช่น พนักงานประจำที่บริษัทมีประกันให้อยู่แล้ว “ประกันสุขภาพแบบแยกค่าใช้จ่าย” จะตอบโจทย์ได้ดีกว่า

แต่ในกรณีที่ไม่อยากกังวลในเรื่องค่ารักษาพยาบาล ไม่อยากเจอกับปัญหา “เกินวงเงิน” ประกันสุขภาพ เหมาจ่ายเป็น “ทางเลือก” ที่น่าสนใจมากกว่า เนื่องจากไม่จำกัดการรักษาต่อครั้ง รักษาเท่าไหร่จ่ายตามจริงเท่านั้น เพราะฉะนั้นลองสังเกตตัวเองดี ๆ ว่าจริง ๆ แล้วเหมาะกับแบบไหนมากที่สุด แต่ไม่ว่าอย่างไรควรจะศึกษา “เงื่อนไขและรายละเอียด” ที่ระบุไว้ในแต่ละกรมธรรม์ให้ดีด้วย

หลายคนมองว่า “ประกันสุขภาพ” เป็นค่าใช้จ่ายที่ฟุ่มเฟือย เพราะส่วนใหญ่เป็น “เบี้ยทิ้ง” แต่บอกเลยว่า “มีไว้ อุ่นใจกว่า” เพราะค่ารักษาพยาบาลในปัจจุบันค่อนข้างสูง แถมยังมีกระบวนการรักษาที่ค่อนข้างหลากหลาย นอกจากนี้การซื้อประกันสุขภาพ ยังช่วยลด “ระยะเวลาการรอคิว” ได้อีกด้วย ช่วยให้คุณเข้ารับการรักษาได้อย่างรวดเร็วทันใจ แถมยังไม่ต้องสำรองจ่ายแม้แต่สตางค์เดียว​ (ขึ้นอยู่กับเงื่อนไขของกรมธรรม์)

เปรียบเทียบราคา หรือ ต้องการรายละเอียดเพิ่มเติม เจ้าหน้าที่เราพร้อมให้บริการ

บทความที่น่าสนใจ

เพราะเรารู้ว่าคุณรู้สึกสับสนและมึนหัวเพียงใด ในตอนที่ต้องเลือกผลิตภัณฑ์ที่ใช่