หัวข้อที่น่าสนใจ
หากคุณกำลังมองหาความคุ้มครองด้าน ประกันมะเร็ง เจอจ่ายจบ แต่ยังไม่รู้รายละเอียดหรือวิธีการจัดการกับค่ารักษาพยาบาลที่ได้รับมา ว่าต้องทำยังไง ค่ารักษาเท่าไร แบบยังไงดี ? มาวางแผนกันหน่อยดีไหม มิสเตอร์ คุ้มค่า ได้รวบรวมรายละเอียดที่จะเป็นประโยชน์กับคุณ เพื่อให้คุณได้รับความคุ้มครองที่ครอบคลุมและตอบโจทย์มากที่สุด แต่จะมีรายละเอียดเป็นอย่างไร ? ไปติดตามพร้อม ๆ กันได้เลย !
ข้อดีของการทำ ประกันมะเร็ง เจอจ่ายจบ
การทำประกันมะเร็งหรือประกันโรคร้ายแรงแบบ “เจอ จ่าย จบ” นับเป็นหนึ่งในตัวเลือกที่ตอบโจทย์ เพราะไม่ว่าคุณจะตรวจมะเร็งเจอในระยะใด ๆ ก็ตาม คุณจะได้รับเงินก้อนในทันที โดยไม่ได้บังคับว่าจะต้องเอาไปเป็นค่ารักษาพยาบาลเพียงอย่างเดียวเท่านั้น
แต่ยังสามารถเอาไปจัดสรรเป็นค่าใช้จ่ายอื่น ๆ ในระหว่างพักรักษาตัวที่โรงพยาบาล หรือเข้ารับการรักษาตามขั้นตอนทางการแพทย์ได้อย่างอิสระ เรียกได้ว่าเป็นประโยชน์มากกว่าการซื้อประกันภัยค่ารักษาพยาบาล ที่จะจ่ายแค่ค่ารักษาพยาบาลเพียงอย่างเดียว
ควรเลือกซื้อ “ประกันมะเร็ง” ตอนไหนดีที่สุด
การเลือกซื้อประกันภัยที่ให้ความคุ้มครองโรคร้ายอย่าง “โรคมะเร็ง” ควรพิจารณาการเลือกซื้อจากปัจจัยที่เกี่ยวข้องกับผู้เอาประกัน ด้วยการสังเกตจุดหลัก ๆ ดังนี้
- 1. อายุและสุขภาพ - สังเกตว่าในช่วงอายุเท่านี้ มีอาการเจ็บป่วยเกิดขึ้นบ้างหรือไม่ ?
- 2. พันธุกรรม - สังเกตว่าคนในครอบครัวมีประวัติการเป็นมะเร็งมาก่อนหรือเปล่า ?
- 3. พฤติกรรม - สังเกตว่ามี “พฤติกรรมเสี่ยง” ที่จะเป็นอาการโรคมะเร็งมากน้อยแค่ไหน เช่น พฤติกรรมติดสุรา การสูบบุหรี่เป็นประจำ(ต่อเนื่องหลายปี)
หากลองสังเกตตัวเองจากปัจจัยทั้ง 3 ข้อ แล้วพบว่ามี “ความเสี่ยง” ที่อาจจะก่อให้เกิดโรคมะเร็งในอนาคต แม้ว่าในตอนนี้ร่างกายจะยังคงแข็งแรงก็ตาม แนะนำให้ซื้อประกันเอาไว้ล่วงหน้า ด้วยการพิจารณาข้อมูลและเงื่อนไขของบริษัทประกันต่าง ๆ ให้ดี ว่าให้ความคุ้มครองที่ครอบคลุมมากน้อยแค่ไหน และสุขภาพหรือความพร้อมของคุณสามารถทำประกันได้หรือไม่
3 แนวทางหลักในการรักษาโรคมะเร็งปัจจุบัน
หลังจากที่คุณได้รับเงินก้อนจากประกันมะเร็ง เจอจ่ายจบ ควรจะวางแผนการรักษาให้มีประสิทธิภาพ ในปัจจุบันมีแนวทางการรักษาค่อนข้างหลากหลายและมีภาระค่าใช้จ่ายที่แตกต่างกัน ดังนี้
1. การรักษาด้วยยารักษามะเร็งอย่างตรงจุด (Targeted cancer therapy)
การรักษาด้วยยารักษามะเร็งอย่างตรงจุด มีค่าใช้จ่ายสูงสุด 300,000 บาท มีความแตกต่างจากการให้คีโมตรงที่ “เน้นการรักษาที่ตรงจุด” ตัวยาที่ใช้สามารถทำลายเซลล์มะเร็งได้อย่างแม่นยำ ช่วยลดผลข้างเคียงที่มีต่อเซลล์ปกติ จึงทำให้ตัวยามีราคาต่อเดือนค่อนข้างสูง แถมระยะเวลาการรักษาอาจยืดยาวเป็นปี
2. การรักษาด้วยเคมีบำบัด (Chemotheraphy)
การรักษาด้วยเคมีบำบัด หรือที่หลายคนนิยมเรียกกันว่า “คีโม” มีค่าใช้จ่ายสูงสุด 50,000-100,000 บาท เป็นการรักษาด้วยการให้ยาเพื่อทำลาย หรือยับยั้งการเจริญเติบโตของเซลล์มะเร็ง มีทั้งแบบฉีดและรับประทาน ปกติจะให้คีโมทุก ๆ 2-4 สัปดาห์ และ ‘อาจจะ’ ประกอบด้วยยาหลายชนิดในวันเดียว
3. การรักษาด้วยรังสี (Radiotherapy)
การรักษาด้วยรังสีหรือที่หลายคนเรียกติดปากว่า “การฉายแสง” มีค่าใช้จ่ายสูงสุด 200,000 บาท โดยแบ่งออกเป็น 5 รูปแบบ ได้แก่
- การฉายรังสีแบบ 2 มิติ
- การฉายรังสีแบบ 3 มิติ
- การฉายรังสีแบบปรับความเข้ม
- การฉายรังสีแบบหมุนรอบตัว
- การฉายรังสีแบบ Volumetric Intensity Modulated Arc Therapy (VMAT)
ซึ่งแต่ละรูปแบบจะมีค่าใช้จ่ายที่แตกต่างกันออกไป รวมถึงยังขึ้นอยู่กับมะเร็งประเภทต่าง ๆ ด้วย เช่น รักษามะเร็งปอดแบบเทคนิค 3 มิติ มีค่าใช้จ่าย 141,100 บาท (35 ครั้ง) แบบเทคนิค IMRT/VMAT มีค่าใช้จ่าย 197,600 บาท (35 ครั้ง) เป็นต้น หากไม่มั่นใจสามารถสอบถามค่าใช้จ่ายก่อนได้
จะเห็นได้ว่าค่ารักษาพยาบาลรูปแบบต่าง ๆ ของโรคมะเร็ง “แพงมาก” เรียกได้ว่าเหยียบล้านเลยก็ว่าได้ หากคุณตรวจมะเร็งเจอ และได้รับค่าชดเชยรูปแบบเจอ จ่าย จบ ก็ควรจะวางแผนการรักษาโรคมะเร็งตามขั้นตอนต่าง ๆ ตามคำแนะนำของแพทย์เจ้าของไข้ เพื่อเข้ารับการรักษาอย่างเหมาะสม ตรงจุด และไม่ยืดเยื้อจนเกินไป แถมยังสามารถนำเงินประกันมาวางแผนการรักษาได้อย่างมีประสิทธิภาพ
ความสำคัญของ “ประกันมะเร็ง”
บางคนที่ “คิดว่า” ตัวเองไม่ได้มีความเสี่ยง หรือเข้าใจว่าตัวเองไม่มีทางเป็นมะเร็งแน่ ๆ อาจเลือกที่จะมองข้ามประกันมะเร็งไปอย่างง่ายดาย บอกตรงนี้เลยว่าการทำประกันมะเร็ง มีความสำคัญมาก ๆ เนื่องจากเป็นโรคที่ไม่มีความแน่นอน แถมยังมีปัจจัยที่ทำให้เกิดโรคมากมาย ที่สำคัญ ! มีค่าใช้จ่ายในการรักษาที่ค่อนข้างสูง และใช้เวลานานมาก หากคุณไม่มีประกันในส่วนนี้ อาจจะต้องปาดเหงื่อกันยาว ๆ
เพราะฉะนั้นเราจึงได้รวบรวม “ประโยชน์” ของประกันมะเร็งมาให้คุณได้นำไปประกอบการตัดสินใจ เพื่อซื้อความคุ้มครองและความสบายใจให้คุณได้เป็นอย่างดี โดยประโยชน์ที่ว่า มีรายละเอียดดังนี้
- ลดภาระค่าใช้จ่ายในการรักษาพยาบาล
- มีโอกาสได้รับเงินชดเชยเมื่อเข้ารับการรักษา
- ใช้เงินประกันเป็น “ทุนสำรอง” ให้กับคนในครอบครัว (กรณีเสียชีวิต)
- ได้รับสิทธิพิเศษต่าง ๆ ตามที่กรมธรรม์กำหนด
การทำประกันมะเร็ง เจอจ่ายจบ จะช่วยให้คุณเข้ารับการรักษาได้อย่างรวดเร็ว และมีประสิทธิภาพมากที่สุด แม้ว่าการเข้ารับการรักษาจากโรงพยาบาลรัฐบาล จะมีค่ารักษาที่ถูกกว่า แต่ก็แลกมาด้วยระยะเวลา “รอคิว” ที่ค่อนข้างง่าย เงินประกันก้อนนี้ จึงเข้ามามีบทบาทในการช่วยให้คุณมี “ตัวเลือก” ที่ดีกว่า