การปั่นจักรยานที่ถูกต้อง 3 วิธีง่าย ๆ เพิ่มความปลอดภัยทุกเส้นทาง

1. เช็ก ‘ความพร้อม’ ของรถจักรยาน

ก่อนใช้งานรถจักรยานทุกครั้ง แนะนำว่าควรเช็คสภาพรถจักรยานทุกครั้ง เพราะถ้าหากนำรถออกไปใช้ทั้ง ๆ ที่มีสภาพไม่สมบูรณ์ อะไหล่บางส่วนเสียหาย ชำรุด อาจทำให้เกิดอุบัติเหตุได้ง่าย ๆ และสำหรับ “อะไหล่หรือส่วนประกอบ” ที่ควรเช็กอย่างละเอียด มี 3 ส่วน คือ เบรกมือ, โซ่ และล้อ

เนื่องจากทั้ง 3 ส่วนนี้ เป็นชิ้นส่วนที่ “สึกหรอ” ได้ง่าย ยิ่งใช้งานมานานเท่าไหร่ยิ่งมีโอกาสเสื่อมสภาพมากขึ้นเท่านั้น จึงเป็นเหตุผลที่ควรตรวจเช็กให้แน่ใจก่อนขี่บนถนนร่วมกับยานพาหนะอื่น ๆ

2. ปั่นจักรยานในเลนจักรยานเท่านั้น

ปัจจุบันมี “เลนจักรยาน” ในช่องทางจราจรแล้ว โดยจะใช้ ‘เสา’ ในการแบ่งเลนจักรยาน ด้วยการติดตั้งบนพื้นผิวถนน หากถนนเส้นไหนมีเลนดังกล่าวควรขี่ในเลนที่ถูกต้องจะดีที่สุด เพื่อ “ลดความเสี่ยง” ในการเกิดอุบัติเหตุนั่นเอง

3. ศึกษาการใช้ ‘สัญญาณเตือน’ ให้ดี

สัญญาณเตือนที่ควรศึกษา คือ “สัญญาณมือ” ที่ใช้ในการสื่อสารกับเพื่อนร่วมทาง เช่น เลี้ยวซ้าย-ขวา, หยุด, ให้แซง หรือขอให้ชะลอรถ แนะนำให้ฝึกไปพร้อม ๆ กับการฝึการทรงตัวโดยใช้จักรยานมือเดียว รวมถึงติดตั้ง “กระดิ่งเตือนภัย” ที่ใช้งานได้ เพื่อใช้เสียงในการสื่อสารกับเพื่อนร่วมทางนั่นเอง

ปรับเกียร์พื้นฐาน

หากพบเจอเหตุการณ์เกียร์ไม่ลง มีเสียงรบกวน หรือทำงานไม่ได้ดั่งใจ สามารถแก้ไขปัญหาได้ง่าย ๆ ด้วยการ “ปรับแรงตึงสาย” แต่หลายคนไม่ค่อยรู้ และมักเลือกเข็นจักรยานคู่ใจไปที่ร้านและให้ช่างจัดการให้ แต่ถ้าหากคุณเรียนรู้ทักษะนี้เอาไว้ สามารถแก้ไขปัญหาได้ง่าย ๆ โดยไม่ต้องเข็นจักรยานให้เมื่อยแล้วล่ะ

ถอดล้อหลัง

นักปั่นหลายคนต่อให้ปั่นจักรยานมานานนับปีหรือหลายปี ไม่มีใครคิดอยากจะยุ่งกับล้อหลังสักเท่าไหร่นัก เพราะมองว่า “ระบบเกียร์” บริเวณล้อหลังมีความวุ่นวายในการถอด แต่ในความเป็นจริงนั้น การถอดล้อหลังเป็นเรื่องที่ง่ายมาก เพียงแค่จำให้ดีว่า “ไม่ว่าจะถอดหรือใส่โซ่ต้องอยู่เฟืองเล็กสุดก่อน” จากนั้นเป็นเรื่องของ “จังหวะ” และมุมการใส่อีกนิดหน่อย

สูบลมจักรยาน

มีนักปั่นจำนวนไม่น้อยที่ไม่รู้ว่าการสูบลมรถจักรยานจะต้องทำยังไง สูบเท่าไหร่ บางคนลองสูบเองแล้วแต่ทำไม่สำเร็จ อาจเป็นเพราะว่า “ลืมคลายหัวสูบออกก่อน” หรือบางคนไม่รู้จะทำยังไง ปั่นไปทั้ง ๆ ที่ลมน้อยเต็มทน เพราะไม่อยากมานั่งปวดหัวกับการสูบลม และในท้ายที่สุดผลที่ตามมาคือ “ยางรั่ว” นั่นเอง