โควิดโอมิครอนมาอีกระลอกก็ไม่หวั่น เพราะสินเชื่อ รีไฟแนนซ์รถ พร้อมช่วยคุณ ! การ รีไฟแนนซ์รถ คุณจะยังสามารถใช้รถได้เหมือนเดิมและยังครอบครองรถได้ตามปกติแต่ได้รับเงินมาไว้ใช้ในกรณีฉุกเฉิน เหมาะสำหรับทุกคนที่มีรถแล้วต้องการเงินด่วน เงินฉุกเฉิน หรือเสริมสภาพคล่องทางการเงินให้กับธุรกิจ โดยจะแบ่งจ่ายค่างวดเป็นรายเดือน แต่คุณรู้ไหมว่า ? การรีไฟแนนซ์มีหลายประเภทให้คุณเลือก แต่แบบไหนจะเหมาะกับคุณล่ะ ? MrKumka รวบรวมคำตอบมาให้แล้ว
ความหมายของการ รีไฟแนนซ์รถ ที่คุณต้องรู้
การรีไฟแนนซ์ หากอธิบายเพื่อเข้าใจง่ายภายใต้บริบทของการกู้สินเชื่อ จะแตกออกเป็น 2 ประเด็นหลัก ๆ คือ “การย้ายสัญญาสินเชื่อ” รีไฟแนนซ์รถที่ยังผ่อนไม่หมด โดยผู้กู้จะทำการเปลี่ยนบริษัทสินเชื่อใหม่หรือจะเป็นการทำสัญญาใหม่กับบริษัทสินเชื่อเดิมก็ได้ เป็นการปรับเปลี่ยนสัญญาตามยอดกู้ใหม่, เปลี่ยนยอดชำระต่องวด หรือระยะเวลาในการผ่อนชำระ พูดแบบเข้าใจง่าย ๆ คือ “กู้เงินจากที่ใหม่มาปิดที่เก่า” (ในกรณีย้ายสินเชื่อ) เพื่อจุดประสงค์หลักในการรับเงินกู้ส่วนต่างที่ทางสินเชื่อจะให้ได้(หลังจากประเมิน) และเป็นการลดอัตราดอกเบี้ยหรือยอดชำระต่องวดที่น้อยลงด้วย ผ่อนสบายขึ้น แถมมีเงินที่สามารถนำไปใช้จ่ายจำเป็นตามต้องการ
และอีกประเด็นสำหรับการรีไฟแนนซ์คือ รถแลกเงินสำหรับรถปลอดภาระ รถที่ผ่อนหมดแล้ว มีเล่มทะเบียนอยู่ในมือ แบบนี้คุณสามารถรีไฟแนนซ์ได้ด้วยเช่นกัน ผ่านรูปแบบที่เหมือนเป็นการกู้สินเชื่อเงินก้อนแล้วใช้รถมาเป็นเหมือนสินทรัพย์ค้ำประกัน สามารถเลือกได้ ! ว่าต้องการใช้บริการในรูปแบบจำนำเล่มทะเบียนที่ไม่ต้องโอนเล่มเปลี่ยนชื่อเจ้าของกรรมสิทธิ์ หรือแบบโอนเล่มทะเบียนเปลี่ยนชื่อซึ่งจะเอื้อประโยชน์ในเงื่อนไขต่าง ๆ ของสินเชื่อมากขึ้น ทั้งเรื่องยอดกู้สูงขึ้น, ผ่อนได้นานขึ้น เป็นอาทิ
แบบจํานําทะเบียนรถ vs โอนเล่มทะเบียน คืออะไร ?
สำหรับประเภทการ รีไฟแนนซ์รถ โดยปกติแล้วจะมี 2 ประเภทด้วยกัน ดังนี้
แบบจํานําทะเบียนรถ หรือ จำนำเล่มทะเบียน
คือ สินเชื่อที่ต้องนำเล่มทะเบียนรถไป “ฝาก” กับบริษัทสินเชื่อ เพื่อใช้เป็นหลักประกันในการขอสินเชื่อ และชื่อในเล่มทะเบียนยังคงเป็นชื่อของคุณตามเดิม จะไม่มีการโอนเปลี่ยนชื่อผู้ถือกรรมสิทธิ์รถแต่อย่างใด
ข้อดีของการรีไฟแนนซ์แบบ จํานําทะเบียนรถ
- ชื่อในเล่มทะเบียนไม่ถูกเปลี่ยน เพียงแค่เป็นการฝากเล่มไว้กับบริษัทสินเชื่อเท่านั้น
- ได้เงินไว เนื่องจากขั้นตอนไม่ยุ่งยาก ไม่ต้องเสียค่าโอนรถ ค่าอากรโอนรถ และไม่ต้องทำธุรกรรมที่ขนส่งให้เสียเวลา
- ไม่ต้องแบกรับภาระภาษีมูลค่าเพิ่ม VAT (7%)
- ได้รับอัตราดอกเบี้ยแบบลดต้นลดดอก หากต้องการปิดยอดก่อนระยะเวลาตามสัญญา ดอกเบี้ยที่บริษัทสินเชื่อคำนวณ ณ วันที่คุณปิดบัญชีเท่านั้น ไม่คิดรวมกับดอกเบี้ยที่เหลือ
- เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการใช้เงินด่วน และมีเงินพอที่จะปิดบัญชีก่อนกำหนด
แบบโอนเล่มทะเบียน
คือ สินเชื่อที่จะต้อง “โอน” เล่มทะเบียนรถฉบับจริงให้กับบริษัทสินเชื่อ โดยชื่อในเล่มทะเบียนจะถูกเปลี่ยนชื่อ เพื่อใช้เป็นหลักประกันในการขอสินเชื่อ ซึ่งการดำเนินการในส่วนนี้จะต้องไปทำที่ขนส่งทางบก
ข้อดีของการรีไฟแนนซ์แบบ โอนเล่มทะเบียน
- มีโอกาสได้รับวงเงินสินเชื่อที่สูงกว่า
- ได้ดอกเบี้ยดีกว่า (ขึ้นอยู่กับเงื่อนไขของแต่ละบริษัท) ผ่อนสบาย
- เหมาะสำหรับผู้ที่ไม่รีบ รอได้ และต้องการดอกเบี้ยที่คุ้มค่า หรือผู้ที่ต้องกู้เงินเพื่อสำรองค่าใช้จ่าย
ก่อนรีไฟแนนซ์รถ ต้องเช็กอะไรบ้าง
แน่นอนว่าการ รีไฟแนนซ์รถ ถือเป็นเรื่องสำคัญ ที่ต้องไตร่ตรองให้รอบคอบและถี่ถ้วนซะก่อน ไปดูกันว่าก่อนตัดสินใจขอสินเชื่อ คุณจะต้องเช็กอะไรก่อนบ้าง
เช็กโปรโมชั่น เงื่อนไข และรายละเอียดการรีไฟแนนซ์
ใช่ว่าโปรโมชั่นกับบริษัทสินเชื่อ/สถาบันการเงินใหม่ ๆ จะให้ความคุ้มค่าที่เหนือกว่า หากคุณลองนำดอกเบี้ยมาหักลบกับส่วนต่างสินเชื่อเดิม ก็จะได้รู้คำตอบว่าแท้จริงแล้วคุ้มค่ากว่ากันอย่างไร หรือเป็นแผนการตลาดที่ชวนให้หลงเชื่อเพียงเท่านั้น นอกจากนี้ก็ยังจะต้องทำการสอบถามบริษัทสินเชื่อ/สถาบันการเงินแห่งเดิมด้วยว่า การรีไฟแนนซ์รถของคุณจะต้องเสียค่าปรับหรือเปล่า ? หลังจากนั้นก็ค่อยนำรายจ่ายที่เกิดขึ้นมาคำนวณอีกครั้ง ว่าให้ความคุ้มค่ามากน้อยแค่ไหน หรือจะเป็นการเสียเงินเพิ่มโดยใช่เหตุไปเปล่า ๆ
เช็กความพร้อมของตัวเอง
นอกจากเช็กในเรื่องของโปรโมชั่น เงื่อนไข และรายละเอียดต่าง ๆ ก็สามารถเช็กความพร้อมของตัวเองด้วยว่า สามารถผ่อนชำระค่างวดตามเงื่อนไขบริษัทสินเชื่อ/สถาบันการเงินได้หรือเปล่า ไม่ว่าจะเป็นจำนวนเงินที่ต้องแบ่งจ่ายในแต่ละเดือน รวมถึงระยะเวลาในการผ่อนชำระด้วย
เตรียมเอกสารให้พร้อม
หากคุณหาข้อมูลมาเป็นอย่างดี และมีความพร้อมที่จะขอสินชื่อรีไฟแนนซ์รถแล้ว ลำดับต่อมาก็จะต้องเตรียมเอกสารให้พร้อม เช่น สำเนาบัตรประชาชน สำเนาทะเบียนบ้าน หนังสือรับรองรายได้ สำเนาสมุดบัญชีเงินฝาก รวมถึงเอกสารอื่น ๆ ตามเงื่อนไขของบริษัทสินเชื่อ/สถาบันการเงิน บอกก่อนว่ายิ่งคุณเตรียมเอกสารไปพร้อมเท่าไหร่ ก็จะช่วยประหยัดเวลาในการดำเนินการได้เท่านั้น
รีไฟแนนซ์รถเมื่อไหร่ถึงคุ้มค่ามากที่สุด ?
ถ้าหากจะหาคำตอบที่ว่า “รีไฟแนนซ์เมื่อไหร่ถึงจะคุ้มค่ามากที่สุด” ต้องบอกแบบนี้ว่ายังไม่มีคำตอบที่ตายตัวเท่าไหร่นัก ซึ่งถ้าหากอ้างอิงตามความจริงก็คือบริษัทสินเชื่อ จะรับรีไฟแนนซ์รถที่ผ่านระยะเวลาผ่อนไปแล้วอย่างน้อย 50% เช่น สินเชื่อมีระยะเวลาผ่อน 6 ปี และคุณได้ผ่อนชำระไปแล้วอย่างน้อย 3 ปี ก็จะสามารถนำรถยนต์คู่ใจรีไฟแนนซ์ได้ นอกจากนี้ยังมีปัจจัยอื่น ๆ ร่วมด้วย โดยเฉพาะราคากลางของรถยนต์รุ่นนั้น ๆ เนื่องจากในตอนที่ขอสินเชื่อฉบับใหม่ จะต้องได้ “มากกว่า” ยอดหนี้ผ่อนรถยนต์ของสัญญาเดิม
การรีไฟแนนซ์ถือเป็นการขอสินเชื่อใหม่อีกครั้งของรถคุณ ในเงื่อนไขที่ดีและช่วยให้คุณได้รับประโยชน์ในเรื่องการเงินที่มากกว่าเดิม แต่ก็อย่าลืมว่า “ดอกเบี้ยมากน้อย = ระยะเวลา” ดังนั้นแนะนำให้ศึกษารายละเอียดให้ดีก่อนตัดสินใจเลือกขอสินเชื่อรีไฟแนนซ์รถ เพื่อให้คุณได้รับวงเงินสินเชื่อที่ตรงใจมากที่สุด แต่ถ้าหากไม่รู้ว่าจะต้องเลือกที่ไหนดี สามารถเข้าไปเปรียบเทียบสินเชื่อรีไฟแนนซ์รถพร้อมขอคำปรึกษาได้ที่MrKumka.com คลิกเลย!