มีรถหลายคัน ไม่ค่อยได้ใช้ หรืออยากเปลี่ยนรถใหม่ เลยตัดสินใจจะขายรถมือสอง ไม่ใช่แปลก แต่ใช่ว่าทุกคนจะขายรถบ่อย ๆ ถ้าไม่ใช่พ่อค้า แถมการขายรถในสมัยนี้ก็ง๊าย ง่าย เพียงโพสต์ขายในอินเทอร์เน็ตได้คือจบ ทว่าความสะดวกสบายอาจแลกมาด้วยความเสี่ยง จึงต้องระมัดระวังให้ดีในทุกขั้นตอนการขาย โดยเฉพาะเรื่องการเตรียมเอกสารโอนรถ และขั้นตอนการซื้อขาย ไม่อยากเสียท่า มิสเตอร์ คุ้มค่า ลิสต์ประเด็นที่ควรรู้มาให้มือใหม่หัดขายรถกันทุกคนแล้ว ตามไปดูกันเลย
ขายรถมือสองที่ไหนดี ?
1. One2car.com
เว็บขายรถมือสองขนาดใหญ่ มีรถให้เลือกเยอะ ฟังก์ชั่นการค้นหาค่อนข้างละเอียด เรียกได้ว่าเป็นเว็บที่ใหญ่ที่สุดในประเทศไทย ด้วยจำนวนรถกว่า 48,000 คัน ทำให้มีคนสนใจและเข้าชมรถมือสอง ราคาถูกกับที่นี่เป็นจำนวนมาก หากลงขายที่นี่จะช่วยเพิ่มโอกาสขายรถสำหรับคุณไม่ยากเลย
2. taladrod.com
อีกหนึ่งเว็บขายรถเก่าแก่ที่เน้นความหลากหลาย ไม่ว่าจะเป็นรถบ้านและรถจากเต็นท์ นอกจากนี้ยังมาพร้อมกับฟังก์ชันเปรียบเทียบรถ ที่ช่วยให้ผู้ซื้อตัดสินใจได้ง่ายขึ้น ซึ่งเป็นผลดีต่อผู้ขายอย่างคุณมาก ๆ เพราะช่วยให้ผู้ซื้อเห็นจุดเด่นของรถได้ชัดเจน
3. rod.kaidee.com
เว็บขายรถมือ 2 คุณภาพดี เหมือนใหม่ มั่นใจได้ทุกการซื้อขาย เพราะมีการยืนยันตัวตนผ่านระบบ eKYC มีรถให้เลือกมากกว่า 30,000 คัน ตัวเว็บใช้งานง่ายอยากนำรถมาขายสามารถทำได้สะดวก และรวดเร็วสุด ๆ ต้องไปลองใช้งานดูกัน
4. chobrod.com
เว็บขายรถมือ 2 มาพร้อมกับรถหลากหลายรุ่นให้เลือก และมีราคารถยนต์ที่น่าสนใจ แถมยังเป็นเว็บที่เหมาะสำหรับคนที่ต้องการขายรถในราคาที่แข่งขันได้ ที่สำคัญมีระบบค้นหาที่ค่อนข้างละเอียด หารถที่แบรนด์ที่ใช่ รุ่นที่ชอบได้ง่ายขึ้น
5. roddonjai.com
คัดรถพิเศษโดนใจ ตอบโจทย์ทุกความต้องการแบบเน้น ๆ หากอยากขายรถกับโดนใจก็ขายง่าย ได้ราคาตามคาดหวัง แถมยังโปรโมทฟรีให้ทุกคัน เรียกได้ว่าเป็นอีกหนึ่งเว็บที่น่าสนใจ เพราะมาพร้อมกับแพ็คเกจประกาศขายแบบครบจบ ไม่ต้องทำเอาให้ยุ่งยาก
ขายรถมือสอง ต้องเตรียมเอกสารอะไรบ้าง ?
การขายรถไม่ว่าจะในอดีตหรือในปัจจุบัน แค่มีรถใช่ว่าจะขายได้เลย ยังมีเรื่องเอกสารโอนรถและการเตรียมสภาพรถให้ดูดีน่าซื้อย่อมสำคัญด้วย พร้อมกับดำเนินการให้ถูกต้องเพื่อป้องกันปัญหาอื่น ๆ ตามมาหลังการขาย จะมีเอกสารอะไรที่ต้องใช้ในการซื้อขายรถสักคัน ตามไปดูกันเลย
1. สำเนาบัตรประชาชน (เจ้าของรถ)
สิ่งแรกที่ต้องเตรียม คือ สำเนาบัตรประชาชนตัวของเจ้าของรถ เพื่อใช้ในการยืนยันตัวตน หากมีการเปลี่ยนชื่อหรือนามสกุล ให้นำใบเปลี่ยนชื่อแนบในเอกสารมาด้วยทุกครั้ง เพื่อสร้างความมั่นใจให้กับผู้ซื้อ รวมถึงแสดงตัวตนว่าคุณเป็นเจ้าของรถอย่างแท้จริง
2. สมุดเล่มทะเบียนรถตัวจริง
หรือเล่มรถสีฟ้า เปรียบเหมือนสมุดพกในวัยเรียน หรือจะเทียบกับบัตรประชาชนของรถยนต์ทุกคันคงไม่เกินจริง เพราะมีข้อมูลตัวรถบอกไว้อย่างครบถ้วน ไม่ว่าจะเป็นทะเบียนรถ เลขตัวถัง เลขเครื่องยนต์ ชื่อผู้ถือครองกรรมสิทธิ์ สามารถใช้ตรวจสอบได้ว่ารถที่ต้องการขายตรงกับรายละเอียดในเล่มหรือไม่
3. แบบคำขอโอนและรับโอนกรรมสิทธิ์รถ
สำหรับเอกสารโอนรถ หรือแบบฟอร์มเอกสารการโอนรถ ต้องดำเนินการผ่านทางกรมขนส่งทางบกเท่านั้น
4. สัญญาซื้อขาย
เป็นสัญญาที่ทำขึ้นระหว่างผู้ซื้อและผู้ขาย โดยต้องมีการระบุราคา รวมถึงเงื่อนไขในการซื้อขายรถมือสองให้ครบถ้วน ไม่ว่าจะเป็นวัน เวลา สถานที่ในการทำสัญญา รวมถึงรายละเอียดรถ ชื่อผู้ซื้อและผู้ขาย รายละเอียดการชำระเงิน
โดยสัญญาซื้อขายรถ โอนลอยถือเป็นเอกสารสำคัญมาก ๆ ดังนั้นควรมีรายละเอียดต่าง ๆ ครบถ้วนที่สุดเท่าที่จะทำได้ และควรทำไว้ 2 ฉบับ สำหรับผู้ซื้อและผู้ขายรถ เพื่อเก็บไว้เป็นหลักฐานคนละฉบับ
5. หนังสือมอบอำนาจ
ใบมอบอำนาจโอนรถสำหรับใช้แทนในการดำเนินเอกสารนั้น ๆ เช่น การโอนเปลี่ยนชื่อเจ้าของที่กรมขนส่งทางบก หรือในกรณีขายรถกับเต็นท์รถมือ 2 โดยหนังสือฉบับนี้จะทำการระบุว่าใช้เพื่อทำการโอนรถ เปลี่ยนเจ้าของ โอนลอยรถทะเบียนนี้เท่านั้น
6. สัญญาเช่าซื้อ
กรณีที่ขายรถมือสองที่ติดไฟแนนซ์หรือยังผ่อนไม่หมด จำเป็นต้องมี “สัญญาเช่าซื้อ” ด้วย โดยในสัญญาดังกล่าว ต้องมีการระบุราคารถ ยอดจัดไฟแนนซ์ ดอกเบี้ย และยอดผ่อนชำระ นอกจากนี้ผู้ที่ต้องการขายรถต้องทำการเช็กยอดคงค้างกับทางธนาคารให้เรียบร้อยก่อน เพราะจะได้ทราบยอดที่ต้องชำระที่แน่นอน
นอกจากเตรียมเอกสารให้พร้อมแล้ว อย่าลืมเตรียม “กุญแจสำรอง” ด้วย เพราะตามปกติแล้วในตอนที่ซื้อรถมือหนึ่งป้ายแดงมา ทางตัวแทนจำหน่ายจะให้กุญแจ 2 ชุด คือ กุญแจจริงและกุญแจสำรอง เมื่อคุณตัดสินใจขายรถควรทำการส่งมอบกุญแจสำรองให้กับผู้ซื้อด้วยเช่นกัน ทั้งนี้เพื่อความสบายใจของผู้ซื้อนั่นเอง
โอนลอยคืออะไร ? พร้อมข้อดีและข้อจำกัดที่ควรรู้ก่อนขาย
หลังจากทำความเข้าใจประเด็นเอกสารโอนรถไปเมื่อสักครู่ เชื่อว่านักขายมือใหม่คงสะดุดกับคำว่า “โอนลอย” พอสมควร ซึ่งการโอนกรรมสิทธิ์รถแบบนี้ คือ การทำสัญญาซื้อขายของเจ้าของรถ ซึ่งมีการลงนามในหนังสือสัญญาซื้อขาย เพื่อยืนยันว่ารถคันนี้ (ที่กำลังจะถูกขาย) และส่งมอบเอกสารที่จำเป็นทั้งหมดให้กับผู้รับโอนหรือผู้ซื้อ แต่กรรมสิทธิ์จะยังไม่ถูกเปลี่ยน จนกว่าผู้ซื้อจะดำเนินการโอนรถที่กรมขนส่งทางบกให้เรียบร้อย
ข้อดีของการโอนลอย
เพิ่มความรวดเร็วในการซื้อขายรถมือสอง และยังช่วยประหยัดเวลาให้กับทั้ง 2 ฝ่าย
ข้อจำกัดของสัญญาซื้อขายรถ โอนลอย
ค่อนข้างเสี่ยง เพราะเมื่อผู้ขายมอบอำนาจให้แล้ว แต่ผู้ซื้อไม่ได้ดำเนินการโอนเรื่องให้เสร็จเรียบร้อย และระหว่างนั้นได้มีการนำรถไปใช้โดยมิชอบ เช่น ขนยาเสพติด หรือใช้รถทำอย่างอื่นที่ผิดกฎหมาย ในท้ายที่สุดคนที่ต้องรับผิดชอบยังคงเป็นเจ้าของรถคนเก่า ตามชื่อในเอกสารนั่นเอง
ขั้นตอนการโอนกรรมสิทธิ์รถยนต์ มีอะไรบ้าง ?
ทำความเข้าใจก่อนว่าการโอนรถ เปลี่ยนเจ้าของ โอนลอย หรือโอนตรง สามารถเดินทางไปดำเนินการที่สำนักงานขนส่งในพื้นที่ใดก็ได้ที่สะดวก หรือจะดำเนินการที่สำนักงานขนส่งที่ระบุไว้ในใบคู่มือ หรือที่มีการขอแจ้งใช้รถได้เช่นกัน ขึ้นอยู่กับความสะดวกของแต่ละบุคคล โดยมีขั้นตอนการดำเนินการ และเอกสารที่ต้องใช้ ดังนี้
การโอนกรรมสิทธิ์รถยนต์แบบโอนตรง
เอกสารที่จำเป็นต้องใช้ :
- ใบคู่มือจดทะเบียนรถ หรือสมุดเล่มทะเบียนรถยนต์ตัวจริง
- สำเนาบัตรประชาชนทั้งเจ้าของรถคนเก่าและคนใหม่
- สัญญาซื้อขาย ใบเสร็จรับเงิน และใบกำกับภาษี
- หนังสือโอนรถหรือแบบฟอร์มเอกสารการโอนรถ ที่มีลายมือชื่อผู้โอน (เจ้าของคนเก่า) และผู้รับโอน (เจ้าของคนใหม่) เรียบร้อยแล้ว
โอนกรรมสิทธิ์รถแบบโอนลอย
เอกสารที่จำเป็นต้องใช้ :
- ใบคู่มือจดทะเบียนรถ หรือสมุดเล่มทะเบียนรถยนต์ตัวจริง
- สำเนาบัตรประชาชนทั้งเจ้าของรถคนเก่าและคนใหม่
- สัญญาซื้อขาย ใบเสร็จรับเงิน และใบกำกับภาษี
- หนังสือโอนรถหรือแบบฟอร์มเอกสารการโอนรถ ที่มีลายมือชื่อผู้โอน (เจ้าของคนเก่า) และผู้รับโอน (เจ้าของคนใหม่) เรียบร้อยแล้ว
- ใบมอบอำนาจโอนรถ พร้อมสำเนาบัตรประชาชนของผู้รับมอบ (เจ้าของคนใหม่)
ในส่วนของ “ขั้นตอน” การดำเนินการโอนเปลี่ยนชื่อเจ้าของ ไม่ว่าจะเป็นโอนตรงหรือโอนลอย มีรายละเอียดดังต่อไปนี้
- เดินทางไปยังสำนักงานขนส่งที่สะดวก และนำรถยนต์ที่ต้องการโอนเปลี่ยนชื่อเข้ารับการตรวจสภาพที่สถานตรวจสภาพรถ หรืออาคารตรวจสภาพรถ ณ สำนักงานขนส่งนั้น ๆ
- ติดต่อเจ้าหน้าที่เพื่อดำเนินการยื่นเรื่องโอนเปลี่ยนเจ้าของรถยนต์ พร้อมกับแนบเอกสารประกอบ และชำระค่าธรรมเนียม
- หลังจากดำเนินการเสร็จสิ้น ให้รอรับเอกสารใบคู่มือจดทะเบียนรถคืน และรับใบเสร็จรับเงิน เครื่องหมายการเสียภาษี และแผ่นป้ายทะเบียน
ทั้งนี้ หลังจากยื่นเรื่องโอนกรรมสิทธิ์รถเสร็จเรียบร้อย จะใช้เวลาในการรอเล่มประมาณ 15 วันทำการ และเจ้าของคนใหม่จะต้องแจ้งนายทะเบียนภายใน 15 วัน นับตั้งแต่วันที่โอน หากไม่ดำเนินการให้ถูกต้อง ครบถ้วนทุกขั้นตอน จะมีโทษปรับสูงสุด 2,000 บาท
หลังจากที่ตัดสินใจขายรถและซื้อรถใหม่เรียบร้อยแล้ว ยังมีเรื่องที่คุณต้องทำเพิ่มเติม คือ “ซื้อประกันภัยรถยนต์” ให้กับรถคู่ใจคันใหม่ เพื่อให้ได้รับความคุ้มครองที่ครอบคลุม ตอบโจทย์ และถ้ากำลังอยากจะเปลี่ยนที่ใหม่ แต่ยังไม่รู้ว่าจะทำประกันกับที่ไหน เข้ามาเปรียบเทียบประกันรถยนต์กับ มิสเตอร์ คุ้มค่า ก่อนได้ เพราะมีบริษัทชั้นนำให้เปรียบเทียบ แถมยังหาราคาที่ดีที่สุดสำหรับคุณให้อีกด้วย
โอนกรรมสิทธิ์รถแล้ว ต้องโอนประกันรถยนต์ด้วยไหม ?
สำหรับคนที่กำลังสงสัยว่าเมื่อโอนกรรมสิทธิ์รถแล้ว จำเป็นต้องโอนประกันรถยนต์ด้วยไหม? คำตอบขึ้นอยู่กับการตัดสินใจร่วมกันของทั้ง 2 ฝ่าย หากผู้ซื้อเห็นว่าความคุ้มครองจากประกันรถยนต์ที่มีอยู่นั้นตอบโจทย์ และอยากจะใช้กรมธรรม์นั้นต่อ ก็สามารถทำเรื่องโอนประกันรถยนต์ให้เป็นชื่อเจ้าของรถใหม่ได้เลย
เอกสารที่ใช้ในการโอนกรมธรรม์ ประกันภัยรถยนต์แบบระบุชื่อผู้ขับขี่
- เอกสารยินยอมโอนชื่อจากผู้เอากรมธรรม์เดิมเป็นเจ้าของใหม่ เพื่อทำการแจ้งไปยังบริษัทประกันภัย
- ผู้เอากรมธรรม์คนใหม่จะต้องยื่นใบซื้อขายเพิ่มเติม เพื่อนำไปใช้ในการเปลี่ยนชื่อผู้เอาประกัน และถอดชื่อเจ้าของเดิมออกจากกรมธรรม์
เอกสารที่ใช้ในการโอนประกันรถยนต์ แบบไม่ระบุชื่อผู้ขับขี่
- สำเนาบัตรประชาชนของผู้เอาประกันเดิม พร้อมลายเซ็นต์ยินยอมในการโอนประกันรถยนต์ให้มาเป็นชื่อผู้เอาประกันคนใหม่
- ผู้เอาประกันคนใหม่ต้องยื่นเอกสารให้กับทางบริษัทประกันภัย เพื่อใช้ในการเปลี่ยนชื่อ
- ส่งเอกสารให้กับทางบริษัท เพื่อออกเอกสารแนบท้ายประกันเป็นชื่อผู้เอาประกันคนใหม่ และแจ้งสิทธิกับตัวรถ
แต่ถ้าเจ้าของคนใหม่ (ผู้ซื้อ) มองว่าไม่ตอบโจทย์ อยากจะเปลี่ยนใหม่ คุณ (ผู้ขาย) ก็สามารถเดินเรื่องยกเลิกกรมธรรม์ต่อได้เลย โดยไม่ต้องทำเรื่องโอนประกันเพิ่มเติม โดยจะต้องดำเนินการจัดส่งเอกสารต่าง ๆ ให้บริษัทประกันเป็นให้ครบถ้วน การยกเลิกถึงจะถือว่าสมบูรณ์
ไม่ว่าคุณจะตัดสินใจขายรถมือสอง รถกระบะมือสอง หรือรถประเภทไหนด้วยเหตุผลใด ๆ ก็ตาม สิ่งที่จำเป็นต้องเตรียมให้พร้อมก็คือเอกสารโอนรถ และชั่งน้ำหนักให้ดีว่าจะเลือกโอนตรงหรือโอนลอย เพราะทั้ง 2 แบบก็มีข้อดีและข้อจำกัดที่แตกต่างกันออกไป แนะนำให้ตกลงร่วมกัน (ระหว่างผู้ซื้อและผู้ขาย) จะดีที่สุด
คำจำกัดความ
เสียท่า | พลาดท่า, เสียที, ตกเป็นรอง |
กรรมสิทธิ์ | ความเป็นเจ้าของทรัพ |
โอนกรรมสิทธิ์ | โอนสิทธิในการเป็นเจ้าของทรัพย์สินให้แก่บุคคลอื่น |