เมื่อต้องขับรถหน้าฝนหลาย ๆ คนมักพูดว่าดี จะได้ไม่ต้องล้างรถ แต่มันอาจสร้าง “ความเสียหาย” ซ่อนเร้นมากกว่าที่ผู้ใช้รถหลายคนคิด โดยเฉพาะในเรื่องของสีรถยนต์ และอาจทำให้รถเป็นรอย หากคุณสงสัยว่าทำไมมันถึงเป็นแบบนั้น มิสเตอร์ คุ้มค่า รวบรวมประเด็นที่น่าสนใจ พร้อมวิธีดูแลรักษารถยนต์ที่ถูกต้องมาให้เรียบร้อยแล้ว ตามไปดูพร้อม ๆ กันเลยดีกว่า
ฝนช่วยล้างรถไปแล้ว ทำไมยังต้องล้างเองอีก ?
เหตุผลที่แนะนำให้ล้างรถหน้าฝนเป็นเพราะว่า “น้ำฝนมีฤทธิ์เป็นกรดอ่อน ๆ” แต่ด้วยมลพิษทางอากาศในปัจจุบัน ทำให้ฝนมีค่า pH ต่ำกว่าเดิม ยิ่งพื้นที่ไหนมีมลพิษทางอากาศสูง ยิ่งส่งผลให้ฝนกลายสภาพเป็น “ฝนกรด” ได้ หากปล่อยทิ้งไว้นาน ๆ อาจทำให้สีรถหมอง และเสื่อมสภาพก่อนอายุการใช้งานจริง
นอกจากนี้ยังมี “เหตุผลอื่น” ที่คุณควรล้างรถทันทีหลังจากขับฝ่าฝนมา เพราะอาจทำให้รถยนต์ได้รับความเสียหายได้ จะมีเหตุผลอะไรอีกบ้าง ? ตามไปดูกันเลย
เสี่ยงต่อการเกิดสนิม
ไม่ว่าคุณจะขับรถลุยฝน จอดรถตากฝน หรือลุยน้ำท่วมมา มันจะทำให้รถยนต์มีความชื้นมากกว่าปกติ มีโอกาสเกิด “ความชื้นสะสม” ส่งผลให้ชิ้นส่วนต่าง ๆ เกิดสนิมได้ เพราะฉะนั้นการดูแลรักษารถยนต์ที่ดีควรล้างและเช็ดให้แห้งทุกครั้ง เพียงเท่านี้จะช่วยให้รถคันโปรดของคุณใหม่อยู่ตลอดเวลา
เกิดคราบฝังแน่น
ใครที่บอกว่า “น้ำฝนทำให้รถสะอาด” บอกเลยว่าคิดผิด! เพราะเมื่อรถแห้งไปแล้วจะทำให้เกิดคราบน้ำที่ผิวรถ ยิ่งเป็นรถที่จอดกลางแจ้ง คราบน้ำฝนที่แห้งติดอยู่จะทำให้ทำความสะอาดได้ยาก แนะนำว่าควรล้างรถทุก ๆ 7-10 วันจะดีกว่า
ผิวรถเสีย
ผิวรถยนต์คันโปรดของคุณอาจเสียเพราะ “ใบไม้” ที่ปลิวมาตามแรงลมได้ โดยเฉพาะคนที่จอดรถใต้ต้นไม้ในขณะที่ฝนตกพอดี หากปล่อยไว้โดยไม่นำใบไม้ออกหรือล้างรถ จะทิ้งรอยคราบแห้งกรังทำให้ผิวรถเสีย แถมทำความสะอาดได้ยาก
ในกรณีที่ไม่มีเวลาล้างรถจริง ๆ แนะนำให้รีบหยิบเศษใบไม้หรือกิ่งไม้ออกจากรถทันที เพื่อจะได้ทำความสะอาดได้ง่ายขึ้นเมื่อมีเวลา แต่ทางที่ดีแนะนำให้ล้างรถเลยจะดีที่สุด เพราะปัญหา 2 ข้อแรกอาจทำให้รถคุณเสียหายไม่รู้ตัว
รถเป็นรอยจากกิ่งไม้ เคลมประกันได้ไหม ?
หากรถเป็นรอยเนื่องจากประสบอุบัติเหตุบนท้องถนน แน่นอนว่าทุกคนทราบดีว่าสามารถแจ้งเคลมประกันได้ แต่ในกรณีที่ “รถเป็นรอยจากกิ่งไม้ ใบไม้” รวมถึงปัจจัยอื่น ๆ ที่ไม่ใช่อุบัติเหตุ แบบนี้สามารถเคลมประกันได้หรือไม่ ? คำตอบคือ “เคลมได้” สีรถยนต์ถลอกก็เคลมได้เหมือนกัน
แต่จะเคลมได้เฉพาะคนที่ทำประกันรถยนต์ชั้น 1 เอาไว้เท่านั้น หากทำประกันชั้นอื่น ๆ เช่น ชั้น 2+ หรือ 3+ ที่ให้ความคุ้มครองใกล้เคียงกัน จะไม่สามารถเคลมได้ เนื่องจากการเคลมแบบนี้เป็น “การเคลมประกันไม่มีคู่กรณี” นั่นเอง
หากคุณไม่อยากปวดใจกับเหตุการณ์เคลมประกันไม่ได้ อยากเปลี่ยนประกันใหม่ ที่ให้ความคุ้มครองครอบคลุมกรณีรถเป็นรอย และคุ้มค่ากับเบี้ยที่จ่ายอย่างประกันรถยนต์ชั้น 1 แนะนำให้เข้ามาเช็คเบี้ยประกันภัยรถยนต์กับ มิสเตอร์ คุ้มค่า ก่อนได้ เพราะเรายินดีนำเสนอแผนความคุ้มครองที่ตอบโจทย์ แถมประกันชั้น 1 ราคาสบายกระเป๋า รับรองอุ่นใจทุกเหตุการณ์ไม่คาดฝันแน่นอน
ลุยฝนมาแต่ไม่มีเวลา จะใช้บริการล้างรถอัตโนมัติต้องรู้อะไรบ้าง ?
สำหรับคนที่ขับรถลุยฝนมาแต่ไม่มีเวลาล้างรถทันที ในปัจจุบันมีเครื่องล้างรถอัตโนมัติเปิดให้บริการมากมาย สามารถเลือกใช้งานได้ตามสะดวก แต่สิ่งที่ควรทำมาก ๆ ก่อนใช้บริการที่ล้างรถ คือ “ข้อควรระวัง” หากคุณไม่อยากให้รถคันโปรดเป็นรอย สีรถยนต์ด่าง ไม่ควรล้างรถในตอนที่ฝากระโปรงห้องเครื่องยังมีความร้อนอยู่ หรือหลังจากจอดรถตากแดดเป็นเวลานาน
นอกจากนี้ยังต้องดูด้วยว่าขนาดของเครื่องล้างรถอัตโนมัติ เหมาะสมกับรถยนต์ของคุณหรือไม่ หากรถมีสปอยเลอร์ เสาอากาศ ก็มีโอกาสที่จะโดนแปรงปัดทำให้เกิดความเสียหายได้
เครื่องล้างรถอัตโนมัติมีกี่ประเภท อะไรบ้าง ?
เครื่องล้างรถอัตโนมัติที่สามารถเลือกใช้บริการได้ในปัจจุบัน มีอยู่ด้วยกัน 2 ประเภท โดยมีความแตกต่างกันดังนี้
อุโมงค์ล้างรถ
เป็นอุโมงค์ขนาดใหญ่ มีโครงสร้างและสายพานลำเลียงที่แข็งแรง สามารถเคลื่อนย้ายยานพาหนะที่มีน้ำหนัก มากกว่า 30 ตันได้อย่างง่ายดาย นอกจากนี้ยังมีอุปกรณ์ล้างรถที่เคลื่อนไหวได้ มีแวกซ์ และน้ำยาล้างรถหลากชนิด ช่วยให้ทำความสะอาดรถยนต์อย่างมีประสิทธิภาพ กำจัดคราบไขมัน และคราบสกปรกที่ติดอยู่บนรถได้เป็นอย่างดี
เครื่องล้างรถ โดยการจอดรถอยู่กับที่
ถือเป็นเครื่องล้างรถอัตโนมัติที่มีความทันสมัยมาก ๆ โดยระบบจะหมุนหัวฉีดไปรอบ ๆ ตัวรถ และฉีดน้ำแรงดันต่ำเพื่อให้ตัวรถเปียก จากนั้นถึงค่อยลงแชมพูสำหรับล้างรถ และใช้อุปกรณ์ล้างรถสะบัดหมุนรอบตัวรถ เพื่อขจัดคราบสิ่งสกปรกต่าง ๆ ออกไป เมื่อเสร็จสิ้นขั้นตอนทำความสะอาดแล้ว จะทำการลงแวกซ์และเป่าลมเพื่อไล่คราบน้ำออก
ล้างรถเองที่บ้านยังไง ให้สะอาดเหมือนใหม่ ?
คนที่มีเวลาและอยากล้างรถเอง แต่กลัวว่าจะไม่สะอาดเหมือนใหม่เท่ากับเข้าคาร์แคร์ ไม่ต้องกังวล เพราะ มิสเตอร์ คุ้มค่า ลิสต์วิธีล้างรถ และอุปกรณ์ล้างรถที่ต้องใช้มาให้เรียบร้อยแล้ว รับรองว่าทำเองได้ง่าย ๆ แถมประหยัดเงินได้อีกด้วย
อุปกรณ์ล้างรถที่จำเป็นต้องเตรียม
- น้ำยาหรือแชมพูล้างรถ
- ฟองน้ำละเอียดสำหรับล้างรถ
- ผ้าไมโครไฟเบอร์ หรือผ้าชามัวร์
- แปรงล้างล้อรถยนต์ (ถ้ามี)
- สายยางฉีดน้ำ
- ถังน้ำ จำนวน 2 ใบ (ผสมน้ำยา 1 ใบ และใส่น้ำสะอาด 1 ใบ)
วิธีล้างรถเอง
ฉีดน้ำไล่คราบสกปรก
ขั้นตอนแรกให้ฉีดน้ำเพื่อชำระล้างคราบสกปรกต่าง ๆ ของเศษฝุ่น เศษดิน หรือเศษอื่น ๆ ออกก่อน เพื่อให้ล้างง่ายขึ้น ไม่เปลืองแรงถูก โดยเริ่มจาก “ฉีดบนลงล่าง”
ล้างล้อรถยนต์ด้วยน้ำยาหรือแชมพูให้สะอาด
เพราะว่าล้อรถยนต์เป็นส่วนที่สกปรกมากที่สุด จึงควรล้างเป็นอันดับแรก ด้วยการใช้แปรงล้างล้อรถ หรือถ้าไม่มีให้ใช้ฟองน้ำขัดถูทำความสะอาดด้วยน้ำยาที่ผสมไว้
ล้างรถด้วยน้ำยาหรือแชมพู
จากนั้นจุ่มฟองน้ำ (อีกอัน) ลงในถังผสมน้ำยาหรือแชมพูล้างรถ แล้วค่อย ๆ ลูบทำความสะอาดจากบนลงล่าง (เริ่มจากหลังคา) ไม่ต้องออกแรงมากเกินไป เพราะอาจทำให้รถเป็นรอยได้
หลังจากล้างรถส่วนใดส่วนหนึ่งเสร็จ ให้จุ่มฟองน้ำที่ใช้แล้วลงในถังน้ำสะอาดที่เตรียมไว้ เพื่อทำความสะอาดฝุ่นและเศษสกปรกต่าง ๆ ก่อนนำไปใช้ล้างส่วนอื่น ๆ ต่อไป
ฉีดน้ำสะอาดเพื่อล้างน้ำยาหรือแชมพู
ฉีดน้ำสะอาดล้างคราบน้ำยาและสิ่งสกปรกออกจากตัวรถ
เช็ดรถให้แห้ง
เมื่อทำความสะอาดเรียบร้อยแล้ว ให้ใช้ผ้าไมโครไฟเบอร์หรือผ้าชามัวร์เช็ดคราบน้ำออกจากตัวรถให้ได้มากที่สุด ด้วยการค่อย ๆ ถูไล่ไปในทางเดียวกัน ไม่ควรถูกวน และควรใช้ผ้าคนละผืนในการเช็ครถแต่ละส่วน เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดคราบสกปรกตามมา
สำหรับคนที่ต้องการเพิ่มความเงางามให้กับรถยนต์คู่ใจ สามารถเคลือบสีรถหลังจากเช็ครถแห้งแล้วได้อีกด้วย โดยเนื้อสัมผัสของน้ำยาเคลือบสีรถ เปรียบเสมือนชั้นฟิล์มเคลือบทับสีรถ นอกจากจะช่วยป้องกันรถเป็นรอยได้แล้ว ยังช่วยให้รถของคุณล้างง่ายขึ้น คราบน้ำฝนไม่เกาะบนตัวรถอีกด้วย
สรุปแล้วการล้างรถหลังจากฝ่าฝนมาเพื่อเป็นการดูแลสีรถยนต์ และเพื่อป้องกันรถเป็นรอยนั่นเอง หากไม่อยากปวดใจกับร่องรอยต่าง ๆ อย่าได้คิดมองข้ามประเด็นนี้เด็ดขาด จะล้างรถเองหรือใช้บริการเครื่องล้างรถอัตโนมัติ แบบไหนก็ย่อมดีกว่าปล่อยให้รถแห้งคาน้ำฝนสกปรก ล้างรถบ่อย ๆ คือการดูแลรักษารถยนต์ง่าย ๆ ที้ใครก็ทำได้ทุกคน