หัวข้อที่น่าสนใจ
- มันเกียร์คืออะไร ทำไมถึงสำคัญ ?
- น้ำมันเกียร์มีกี่ประเภท อะไรบ้าง ?
- น้ำมันเกียร์ออโต้
- น้ำมันเกียร์ธรรมดา
- น้ำมันเกียร์ควรเปลี่ยนตอนไหน ?
- เปลี่ยนน้ำมันเกียร์แต่ละครั้ง มีค่าใช้จ่ายกี่บาท ?
- 5 สัญญาณที่รถกำลังเตือน ว่าควรเปลี่ยนน้ำมันเกียร์ได้แล้ว ?
- น้ำมันเฟืองท้ายคืออะไร ? สำคัญพอ ๆ กับน้ำมันเกียร์ไหม ?
- 1. เกรดเดียว (โมโนเกรด)
- 2. เกรดรวม (มัลติเกรด)
ถ้าพูดถึง “ของเหลวรถยนต์” ที่ต้องเปลี่ยนบ่อย ๆ หลายคนคงนึกถึงแค่น้ำมันเครื่อง น้ำมันเบรกเป็นอันดับต้น และอาจมองข้ามว่ายังมีน้ำมันเกียร์ ด้วยที่สำคัญและควรเปลี่ยนน้ำมันเกียร์ด้วยเช่นกัน เพราะไม่อย่างนั้นอาจทำให้เกิดปัญหาต่าง ๆ ตามมาได้ ซึ่งก็รู้กันดีว่าถ้าการทำงานของส่วนนี้เสียหาย ค่าใช้จ่ายในการซ่อมหนักเอาการ
มิสเตอร์ คุ้มค่า จะพาคุณรู้จักกับเรื่องน้ำมันเกียร์ให้มากขึ้น ความสำคัญ ประเภทของน้ำมันเกียร์ สัญญาณเตือนในการต้องดูแล มีอะไรบ้าง ? ไปดูเลย
มันเกียร์คืออะไร ทำไมถึงสำคัญ ?
ทำความเข้าใจก่อนดีกว่า ว่า “น้ำมันเกียร์” คืออะไร ? สำคัญต่อรถยนต์ยังไงบ้าง ? น้ำมันเกียร์มีหน้าที่ในการช่วย “ลดแรงเสียดทาน” รวมถึงช่วยป้องกันการสึกหรอของระบบเกียร์ ซึ่งระบบดังกล่าวมีความละเอียดอ่อนสูงมาก ๆ แถมยังมีชิ้นส่วนที่ซับซ้อน
ถ้าหากเกิดความเสียหายขึ้นมา ไม่ว่าในท้ายที่สุดจะสามารถซ่อมได้ หรือต้องเปลี่ยนใหม่ยกชุด ก็มักตามมาด้วยค่าใช้จ่ายที่ค่อนข้างสูง จึงเป็นเหตุผลที่คนมีรถทุก ๆ คนไม่ควรมองข้ามการเปลี่ยนน้ำมันเกียร์โดยเด็ดขาด
น้ำมันเกียร์มีกี่ประเภท อะไรบ้าง ?
อีกหนึ่งเรื่องที่คนมีรถทุกคนควรทำความเข้าใจ คือ “ประเภทของน้ำมันเกียร์” ซึ่งหลัก ๆ แล้วมีอยู่ด้วยกัน 2 ประเภท คือ น้ำมันเกียร์ออโต้และน้ำมันเกียร์ธรรมดา ทั้ง 2 ประเภทแตกต่างกันตรงทอร์คคอนเวอร์เตอร์ในการตัดต่อการส่งกำลัง จากระบบเครื่องยนต์ไปสู่ระบบเกียร์แทนชุดคลัทช์ รวมถึงมีรายละเอียดอื่น ๆ ที่ควรรู้ ดังนี้
น้ำมันเกียร์ออโต้
เป็นน้ำมันเกียร์สำหรับรถเกียร์ออโต้ หรือรถยนต์เกียร์อัตโนมัติ มีความหนืดต่ำกว่าน้ำมันเกียร์ธรรมดา รองรับการทำงานของเกียร์ออโต้ที่เป็นฟันเฟือง มีชิ้นส่วนเล็ก ๆ เต็มไปหมด รวมถึงมีการเคลื่อนไหวมากกว่าเกียร์ธรรมดา
จึงเป็นเหตุผลที่รถยนต์ประเภทนี้ควรใช้น้ำมันเกียร์ที่มีความหนืดต่ำ ไหลลื่นได้อย่างอิสระ เพื่อให้แทรกซึมเข้าไปในชิ้นส่วนต่าง ๆ อย่างทั่วถึง พร้อมส่งถ่ายกำลังจากปั๊มไปยังกังหันในทอร์คคอนเวอร์เตอร์ได้เป็นอย่างดี
น้ำมันเกียร์ธรรมดา
มีความแตกต่างกันออกไปตามยี่ห้อ รุ่น และข้อมูลจำเพาะที่ระบุไว้ในคู่มือรถ มีความหนืดสูงกว่าน้ำมันเกียร์ออโต้ รองรับการทำงานของรถเกียร์ธรรมดา ที่เป็นระบบคลัทช์และการสับเกียร์ ซึ่งทำให้เกิดแรงเสียดทานค่อนข้างมาก
จึงจำเป็นต้องใช้น้ำมันเกียร์ที่มีความหนืดสูง เพื่อให้สามารถเปลี่ยนเกียร์ได้อย่างลื่นไหล แถมยังป้องกันการสึกหรอได้อย่างดีเยี่ยม ตามปกติจะมีค่าความหนืดอยู่ที่ 75W-85W ขึ้นไป
นอกจากจะเลือกใช้น้ำมันเกียร์ให้เหมาะสมกับรถยนต์แล้ว การเลือกซื้อประกันภัยรถยนต์ ที่ให้ความคุ้มครองที่ตอบโจทย์ ให้ความอุ่นใจตลอดการเดินทาง ก็เป็นหนึ่งในตัวเลือกที่น่าสนใจ เช่น คุณลืมเปลี่ยนน้ำมันเกียร์จนการเข้าเกียร์ติดขัด ทำให้เกิดอุบัติเหตุตามมา รถยนต์และคุณเองก็ยังจะได้รับความคุ้มครอง ถ้าไม่รู้ว่าจะต้องเลือกแบบไหน ราคาเท่าไหร่ แนะนำให้เข้ามาเช็คราคาประกันรถยนต์กับ มิสเตอร์ คุ้มค่า ก่อนใครได้เลย
ชวนรู้จักระบบเกียร์ CVT ก่อนเปลี่ยนเปลี่ยนน้ำมันเกียร์
หลังจากที่ได้รู้จักประเภทน้ำมันเกียร์ไปแล้ว เมื่อมาเจอกับคำว่าน้ำมันเกียร์ cvt หลายคนก็อาจเกิดความสงสัยอยู่เล็กน้อย ว่าต้องใช้กับรถแบบไหน รถเกียร์ธรรมดาหรือรถเกียร์ออโต้? ถ้าอย่างนั้นเรามาทำความเข้าใจ “ระบบเกียร์ CVT” กันก่อนดีกว่า
ระบบเกียร์ CVT เป็นหนึ่งในระบบเกียร์ออโต้ ซึ่งเป็น “เกียร์อัตราทดแปรผันต่อเนื่อง” ข้อดีคือทำให้สามารถเปลี่ยนเกียร์ได้อย่างนุ่มนวล ไม่มีปัญหาเรื่องรถกระตุกมากวนใจ แถมยังช่วยรักษารอบเครื่องได้ดี ช่วยประหยัดน้ำมันได้มากกว่า เพราะการทำงานของมันเป็นการทำงานแบบไล่เกียร์ไปเรื่อย ๆ ตามรอบอัตราเร่งของตัวรถ
นอกจากนี้ยังสามารถคำนวณความเหมาะสม ให้เหมาะกับรอบความเร็วได้อีกด้วย แน่นอนว่าถ้าจะต้องเปลี่ยนน้ำมันเกียร์ ควรเลือกใช้น้ำมันเกียร์ออโต้ หรือจะบอกว่าเปลี่ยนน้ำมันเกียร์ cvt ก็ไม่ใช่เรื่องแปลกอะไร
น้ำมันเกียร์ควรเปลี่ยนตอนไหน ?
ส่วนใหญ่อายุการใช้งานของน้ำมันเกียร์จะอยู่ที่ 30,000-40,000 กิโลเมตร หรือบางคันก็อาจลากไปแตะ 50,000 กิโลเมตร แต่ควรสังเกต “สีน้ำมันเกียร์” ร่วมด้วย เช่น น้ำมันเกียร์มีสีเหลืองใสหรือสีออกแดงใส แสดงว่าน้ำมันเกียร์อยู่ในสภาพดี พร้อมใช้งาน ยังไม่จำเป็นต้องเปลี่ยน
ทางกลับกัน หากน้ำมันเกียร์มีสีที่ผิดแปลกไป เช่น มีสีดำหรือสีน้ำตาลเข้ม หมายความว่าน้ำมันเกียร์เริ่มเสื่อมประสิทธิภาพ และถึงเวลาเปลี่ยนน้ำมันเต็มทีแล้ว หากยังคงฝืนใช้ต่อเพราะมันเป็น “แค่สีน้ำตาลอ่อน” บอกเลยว่าเตรียมพบกับปัญหาอื่น ๆ ที่อาจตามมาได้เลย
เปลี่ยนน้ำมันเกียร์แต่ละครั้ง มีค่าใช้จ่ายกี่บาท ?
อีกหนึ่งเรื่องที่ถือเป็น “คำค้นหายอดนิยม” คือ เปลี่ยนน้ำมันเกียร์ออโต้ ราคาเท่าไหร่ หรือเปลี่ยนน้ำมันเกียร์ ราคาเท่าไหร่ ต้องบอกแบบนี้ว่าราคาเปลี่ยนน้ำมันเครื่อง จะขึ้นอยู่กับรถแต่ละยี่ห้อและแต่ละรุ่นเป็นหลัก จะมากหรือน้อยก็ขึ้นอยู่กับปริมาณน้ำมันเกียร์ที่ใช้
หากเป็นรถยนต์รุ่นยอดนิยมทั่ว ๆ ไปจะมีค่าใช้จ่ายที่ “ศูนย์บริการรวมค่าแรง” ประมาณ 2,000-5,000 บาท(แล้วแต่รถ แล้วแต่ยี่ห้อ) แต่ถ้าหากคุณเปลี่ยนที่อู่หรือร้านอื่น ๆ ที่คุ้นเคย ก็จะมีค่าใช้จ่ายที่ต่ำกว่า ซื้อตัวน้ำมันเกียร์ไปเองจากร้านแล้วให้ช่างที่อู่เปลี่ยนให้จ่ายแค่ค่าแรงก็จะยิ่งถูกลง ขึ้นอยู่กับว่าอู่หรือร้านนั้น ๆ คิดราคากันยังไง แต่ถ้าจะให้ดีแนะนำให้สอบถามราคาก่อนใช้บริการจะดีที่สุด
5 สัญญาณที่รถกำลังเตือน ว่าควรเปลี่ยนน้ำมันเกียร์ได้แล้ว ?
อย่างที่บอกว่าหลาย ๆ คนมักมองข้ามหรือปล่อยปละละเลยการเปลี่ยนน้ำมันเกียร์ เมื่อรู้ตัวอีกทีก็สายไปเสียแล้ว เพราะรถยนต์จะเริ่มส่งสัญญาณเตือนให้รู้หน่อย ๆ ดังนี้
- เข้าเกียร์ D หรือเกียร์ R แล้วรถออกตัวยากกว่าปกติ
- รถมีอาการกระตุกเมื่อเข้าเกียร์ D หรือเกียร์ R
- เปลี่ยนเกียร์แล้วมีอาการสะดุด
- เปลี่ยนเกียร์ยาก
- ได้กลิ่นไหม้ หรือได้ยินเสียงรถดังผิดปกติเมื่อเปลี่ยนเกียร์
แต่ถ้าหากคุณไม่ได้สังเกต หรือไม่รู้ว่าสัญญาณดังกล่าวหมายความว่ายังไง แล้วยังคงใช้น้ำมันเกียร์ที่เสื่อมสภาพไปเรื่อย ๆ อาจทำให้มีสิ่งสกปรกต่าง ๆ ตกค้างอยู่ในน้ำมันเกียร์ ทำให้จังหวะเกียร์ทำงานไม่สมบูรณ์ นอกจากจะทำให้ชิ้นส่วนอุปกรณ์ภายในสึกหรอแล้ว ยังอาจเกิดการอุดตันได้อีกด้วย เมื่อรู้ตัวแนะนำว่าควรเปลี่ยนน้ำมันเครื่องทันทีจะดีที่สุด
น้ำมันเฟืองท้ายคืออะไร ? สำคัญพอ ๆ กับน้ำมันเกียร์ไหม ?
จริง ๆ แล้วน้ำมันเฟืองท้ายและน้ำมันเกียร์ “เป็นน้ำมันชนิดเดียวกัน” แตกต่างกันที่เบอร์ของความหนืดและหน้าที่การทำงาน โดยน้ำมันเกียร์มีคุณสมบัติในการหล่อลื่น ระบายความร้อน และลดการสึกหรอของเฟืองท้ายส่งกำลังได้เป็นอย่างดี ทำให้พื้นผิวของเฟืองต่าง ๆ มีน้ำมันยึดเกาะได้ดีกว่าน้ำมันเกียร์ แถมยังทนความร้อนได้ดีกว่า
ซึ่งแต่ละผู้ผลิตแต่ละยี่ห้อจะแต่งเติม “สารพิเศษ” ตามความเหมาะสมกับการใช้งาน โดยแบ่งออกน้ำมันเฟืองท้ายออกเป็น 2 ประเภทดังนี้
1. เกรดเดียว (โมโนเกรด)
น้ำมันเฟืองท้ายประเภทนี้ ส่วนใหญ่นิยมใช้กับเฟืองท้ายธรรมดา เช่น รถเก๋งหรือรถกระบะ เนื่องจากกลไกเฟืองท้ายจะประกอบไปด้วยเฟืองเดือยหมู, เฟืองดอกจอก, เฟืองบายศรี ซึ่งเป็นเฟืองที่ไม่ได้สลับซับซ้อน สามารถใช้น้ำมันเกรดเดียว-เบอร์เดียวได้
2. เกรดรวม (มัลติเกรด)
ส่วนมากจะใช้กับรถยนต์เฟืองท้ายชุดกลไกล็อคพิเศษ หรือรถยนต์เฟืองท้ายธรรมดา โดยเลือกใช้ในระดับความหนืดที่ระบุไว้ในคู่มือรถยนต์ ซึ่งปัจจุบันเป็นที่นิยมค่อนข้างมากเลยทีเดียว
สำหรับ “ระยะเวลาในการเปลี่ยนน้ำมันเฟืองท้าย” ควรเปลี่ยนทุก ๆ 20,000 กิโลเมตร หรือตามระยะที่บริษัทกำหนด แต่ไม่ควรเกิน 30,000 กิโลเมตร นอกจากนี้ยังควรเลือกเบอร์และความหนืดให้ตรงกับการใช้งานด้วย เพื่อประสิทธิภาพในการทำงานที่สมบูรณ์ ไร้ที่ติด
จะเห็นได้ว่าน้ำมันเกียร์เป็นหนึ่ง “ของเหลวรถยนต์” ที่ไม่ควรมองข้าม และยังควรเปลี่ยนน้ำมันเกียร์ ทั้งน้ำมันเกียร์ธรรมดา น้ำมันเกียร์ cvt และน้ำมันเกียร์ออโต้ตามระยะที่กำหนด เพื่อป้องกันปัญหาและค่าใช้จ่ายอื่น ๆ ที่อาจตามมา หากไม่แน่ใจว่ารถของคุณใช้งานมาเท่าไหร่แล้ว หรือควรเปลี่ยนถ่ายน้ำมันเกียร์แล้วหรือยัง สามารถสังเกตที่ “สีน้ำมันเกียร์” ด้วยตัวเองก่อนได้
คำจำกัดความ
แรงเสียดทาน | แรงที่เกิดขึ้นระหว่างผิวสัมผัสของวัตถุ เพื่อต้านการเคลื่อนที่ของวัตถุนั้น |
ปล่อยปละละเลย | ไม่เอาใจใส่, ไม่สนใจ, ทอดทิ้ง, ทอดธุระ, ไม่กวดขัน |
เฟืองท้าย | มีหน้าที่ถ่ายทอดกำลังจากเครื่องยนต์ผ่านชุดเกียร์ ก่อนส่งผ่านไปยังล้อเพื่อให้เกิดการหมุน ทำให้รถเคลื่อนที่ได้ |