เชื่อว่าหลายคนคงเคยได้ยินคำว่า “ค่าเสื่อม” มาบ้าง และพอจะรู้คร่าว ๆ ว่าคืออะไร มีความสำคัญยังไง เฉกเช่นเดียวกับ “ค่าเสื่อมราคารถยนต์“ ที่มีความสำคัญต่อการซื้อรถ ใช้รถ และแต่งรถ ซึ่ง มิสเตอร์ คุ้มค่า ได้รวบรวมประเด็นที่น่าสนใจมาให้แล้ว จะมีรายละเอียดน่าสนใจยังไง และเป็นประโยชน์มากน้อยแค่ไหน ไปทำความเข้าใจพร้อม ๆ กับเรากันเลยดีกว่า !
ทำความเข้าใจเรื่องค่าเสื่อมราคารถยนต์คืออะไร ?
“ค่าเสื่อม” คือ “ความแตกต่าง” ของมูลค่ารถยนต์ที่คุณซื้อรถและขายรถ ซึ่งรถยนต์แต่ละแบรนด์ แต่ละรุ่น จะมี “มูลค่าที่ลดลง” แตกต่างกันออกไป นอกจากนี้ยังรวมถึงปัจจัยอื่น ๆ ด้วยเช่นกัน ไม่ว่าจะเป็นระยะเวลา การสึกหรอจากการใช้งาน จำไว้เลยว่ายิ่งคุณใช้รถมากเท่าไหร่ มูลค่าก็ยิ่งลดลงเร็วขึ้นเท่านั้น
โดยทั่วไปค่าเสื่อมจะอยู่ระหว่าง 15-35% สำหรับปีแรก และอาจมีมูลค่าสูงถึง 50% ขึ้นไปในช่วง 3 ปีหลัง ดังนั้นการเลือกซื้อรถยนต์ที่สามารถคงมูลค่าไว้ได้นาน จะช่วยให้คุณประหยัดค่าใช้จ่ายในอนาคตได้มากขึ้น
วิธี ‘คำนวณ’ ค่าเสื่อมราคารถยนต์
วิธีคำนวณค่าเสื่อมราคาแบบ ‘เส้นตรง’
เป็นวิธีที่ได้รับความนิยมมากที่สุด เนื่องจากคำนวณง่าย แถมยังทำให้ค่าเสื่อมราคาในแต่ละปี “เท่ากันเป็นเส้นตรง” ยกเว้นปีแรกและปีสุดท้ายที่จะไม่เต็มปี โดยมี “สูตรคำนวณ” ดังนี้
สูตร: ค่าเสื่อมราคา = (ราคาต้นทุน - มูลค่าคงเหลือ) / อายุการใช้งาน
วิธีคำนวณค่าเสื่อมราคาแบบลดลงทวีคูณ
วิธีนี้ในปีแรก ๆ จะมีค่าเสื่อมราคาค่อนข้างมาก แล้วค่อย ๆ ลดน้อยลงไปตามจำนวนปีที่มากขึ้น และวิธีนี้จะไม่มีการนำ “ราคาซาก” มาทำการคำนวณ โดยมีสูตรดังนี้
สูตร: ค่าเสื่อมราคา = มูลค่าทางบัญชี* x อัตราค่าเสื่อมราคา** x 2
Note:
*มูลค่าทางบัญชี = ราคาทุน - ค่าเสื่อมราคาสะสม
** อัตราค่าเสื่อมราคา = 100/อายุการใช้งานสินทรัพย์
วิธีคำนวณค่าเสื่อมราคาแบบผลรวมจำนวนปี
มีวิธีการคำนวณคล้ายกับ “การคำนวณค่าเสื่อมราคาแบบลดลงทวีคูณ” คือ ปีแรกจะคิดค่าเสื่อมราคามาก และทยอยลดลงในปีท้าย ๆ โดยมีสูตรคำนวณดังนี้
สูตร: ค่าเสื่อมราคา = (ราคาต้นทุน - มูลค่าคงเหลือ) x จำนวนปีที่เหลือ / ผลรวมจำนวนปี
วิธีคำนวณค่าเสื่อมราคาตามผลผลิต
เป็นการคำนวณที่ขึ้นอยู่กับ “ผลผลิตในแต่ละปี” ปีไหนมีผลผลิตมาก ค่าเสื่อมรถยนต์จะมากตามไปด้วย ซึ่งเป็นวิธีที่เหมาะกับ “รถยนต์ที่เสื่อมค่าตามการใช้งาน” โดยมีสูตรการคำนวณดังนี้
สูตร: ค่าเสื่อมราคา = (ราคาต้นทุน - มูลค่าคงเหลือ) / ปริมาณผลผลิตทั้งหมด x จำนวนที่ผลิตได้ในแต่ละปี
“ค่าเสื่อมราคา” หรือความเสียหายของรถยนต์ ส่งผลต่อเรื่องประกันรถยนต์ด้วยไหม ?
ต้องอธิบายก่อนว่าปกติแล้ว “ทุนประกันรถยนต์” จะลดลงปีละ 20% อยู่แล้ว โดยบริษัทประกันจะทำการ “คิดคำนวณค่าเสื่อมราคาจากการใช้งาน” หมายความว่า “ความเสียหายของรถยนต์ หรือค่าเสื่อมราคารถยนต์ มีผลต่อทุนประกัน” ที่มีแต่ละลดลงเรื่อย ๆ ไม่มีทางเพิ่มขึ้นอย่างแน่นอน แล้วอยากรู้ไหมว่า ? ความเสียหายอะไรบ้างที่ส่งผลต่อทุนประกัน ถ้าอย่างนั้นเราไปดูกันเลยดีกว่า
กระจกข้างรถแตก/หัก
ซึ่งเป็นความเสียหายที่มักเกิดขึ้นบ่อย ๆ ตอนที่รถติดไฟแดง เนื่องจากรถมอเตอร์ไซค์ที่มุดแทรกเข้ามาไม่ระวัง เป็นเหตุให้กระจกด้านช้างแตก หัก หรือหลุด
ปัญหาของเครื่องยนต์
เช่น หม้อน้ำรถยนต์รั่ว เนื่องจากเศษหินบนพื้นถนนกระเด็นไปโดน หรืออายุของรถที่ทำให้หม้อน้ำรถยนต์รั่ว จึงเป็นเหตุผลที่คุณควรเปลี่ยน “หม้อน้ำรถยนต์” อย่างสม่ำเสมอ
รอยบุบ รอยขีดข่วน และรอยครูด
ส่วนใหญ่จะเป็นความเสียหายที่เล็กน้อยมาก แต่เป็นร่องรอยความเสียหายที่เกิดขึ้นบ่อย ไม่ว่าจะเป็นขับรถชนกรวยกั้นทาง ถังขยะ ฟุตบาท
ยางเสื่อมสภาพ
“ยางรถยนต์” เป็นอีกหนึ่งอุปกรณ์ในการขับเคลื่อนรถยนต์ แน่นอนว่าหากไม่มีการบำรุงเลย ย่อมมีการเสื่อมสภาพอย่างแน่นอน แถมยังทำให้รถยนต์เกิดความเสียหายได้อีกด้วย
ซึ่งความเสียหายทั้งหมดนี้ ไม่ว่าจะอย่างใดอย่างหนึ่งก็ตาม ล้วนส่งผลต่อ “ทุนประกันรถยนต์” แทบทั้งสิ้น แต่จะมากหรือน้อยขึ้นอยู่กับดุลยพินิจ หรือการคำนวณของบริษัทประกันโดยตรง
“ค่าเสื่อมราคารถยนต์” มีข้อมูลที่น่าสนใจ และ ‘จำเป็น’ ต้องทำความเข้าใจแบบเจาะลึก เพื่อผลประโยชน์ของตัวคุณเอง โดยเฉพาะคนที่ต้องการซื้อรถและขายรถ ควรทำความเข้าใจเอาไว้ให้ดี เพื่อป้องกันการโดนเอารัดเอาเปรียบนั่นเอง นอกจากนี้ก่อนต่อประกันรถยนต์ทุก ๆ ครั้ง ควรศึกษาและทำความเข้าใจเงื่อนไข และรายละเอียดความคุ้มครองเพิ่มเติมด้วย เพื่อให้รถยนต์ของคุณได้รับความคุ้มครองอย่างครอบคลุมมากที่สุด