เช็ค 5 โรคร้ายแรง มีอะไรบ้าง ? ที่ห้ามขับรถและห้ามทำใบขับขี่รถยนต์

แชร์ต่อ
5 โรคร้ายแรง มีอะไรบ้าง ? ที่ห้ามขับรถและห้ามทำใบขับขี่รถยนต์ | มิสเตอร์ คุ้มค่า

ไม่พร้อมอย่าขับ ! บางคนรู้หรือไม่รู้ว่าตัวเองเป็นโรคที่ไม่สามารถขับรถได้แต่กลับมาอยู่หลังพวงมาลัย มีใบขับขี่แต่ก็ใช่ว่าทุกคนจะใช้รถบนท้องถนนได้ ใบขับขี่หนึ่งในเอกสารสำคัญสำหรับผู้ใช้รถทุกคน เนื่องจากเป็นหลักฐานที่ยืนยันว่าสามารถใช้งานรถอะไรได้บ้าง ? (ตามที่กฎหมายกำหนด) แต่ก็มีคนบางกลุ่มที่ ‘ห้าม’ ทำใบขับขี่รถยนต์และห้ามขับรถ ซึ่งก็คือคนที่มีปัญหาด้านสุขภาพ โดยเฉพาะโรคร้ายแรง ซึ่งมีความเสี่ยงในการเกิดอุบัติเหตุทางถนนมากกว่า และ มิสเตอร์ คุ้มค่า ก็ได้ลิสต์รายละเอียดสำคัญมาให้แล้ว โรคร้ายแรง มีอะไรบ้าง ? ไปดูกันเลย

ไม่อยากเสี่ยง เช็กด่วน โรคร้ายที่ไม่ควรขับรถ มีอะไรบ้าง ?

เดิมทีกรมการขนส่งทางบกกำหนดโรคร้ายแรง ที่ห้ามขับรถ ห้ามทำใบขับขี่รถยนต์ไว้ 5 โรค แต่ในปัจจุบันทางกระทรวงสาธารณสุขได้เพิ่มมาอีก 9 โรค ที่มีความเสี่ยงต่อการเกิดอุบัติเหตุบนท้องถนน เราจึงได้รวบรวมข้อมูลมาให้ทำความเข้าใจ ไม่อยากปวดหัวภายหลัง เช็กด่วน !

ข้อกำหนดของกรมขนส่ง 5 โรคร้ายแรง มีอะไรบ้าง ? | มิสเตอร์ คุ้มค่า

ตามข้อกำหนดของกรมขนส่ง 5 โรคร้ายแรง มีอะไรบ้าง ?

  1. โรคเท้าช้าง
    เป็นโรคที่เกิดจาก “หนอนพยาธิตัวกลมฟิลาเรีย” ซึ่งมียุงเป็นพาหะนำโรค มีลักษณะคล้ายกับเส้นด้าย มักอาศัยอยู่ในระบบน้ำเหลืองของมนุษย์ อาการที่สังเกตเห็นได้ชัด คือ ขา แขน รวมถึงอวัยวะเพศบวมผิดปกติ จากภาวะอุดตันของท่อน้ำเหลือง
  2. โรคเรื้อน
    เป็นโรคติดต่อเรื้อรังที่เกิดจากเชื้อ Mycobacterium leprae (M.leprae) อาศัยอยู่ในเส้นประสาทและผิวหนังของมนุษย์ เมื่อร่างกายพยายามกำจัดเชื้อดังกล่าว เป็นผลให้เส้นประสาทถูกทำลาย จนมีอาการผิวหนังตามไปด้วย ร้ายแรงที่สุด คือ อาจทำให้เกิดความพิการของมือ เท้า และตา หากไม่รีบทำการรักษาอย่างทันท่วงที
  3. โรควัณโรค
    เป็นโรคที่เกิดจากเชื้อแบคทีเรีย แถมยังเป็นโรคติดต่อทางการหายใจ เชื้อสามารถแพร่ไปยังบุคคลอื่นทางละอองเสมหะขนาดเล็ก และพวกมันยังสามารถมีชีวิตในอากาศได้หลายชั่วโมงอีกด้วย
  4. โรคพิษสุราเรื้อรัง
    คือ กลุ่มคนที่ดื่มสุรา หรือเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ติดต่อกันเป็นระยะเวลานาน จนไม่สามารถเลิกดื่มได้ แน่นอนว่านอกจากจะเป็นผลเสียต่อร่างกายแล้ว ยังส่งผลต่อการทำงาน ครอบครัว และสังคมรอบข้างด้วยเช่นกัน
  5. โรคติดยาเสพติดให้โทษ
    คือ ผู้ที่ติดยาเสพติดหรือติดสารเสพติดให้โทษ มีอาการต้องการยา รวมถึงสารต่าง ๆ อย่างรุนแรง เมื่อหยุดใช้สารเสพติดจะทำให้เกิดอาการขาดยา ส่งผลเสียทั้งทางด้านร่างกาย อารมณ์ และจิตใจ ทำให้กรมขนส่งไม่อนุญาตให้สอบใบขับขี่ หรือทำใบขับขี่รถยนต์ได้ เนื่องจากมาตรการขับขี่ปลอดภัย

9 โรคเพิ่มเติมที่กระทรวงสาธารณสุขเพิ่มเข้ามา มีโรคอะไรบ้าง ?

  1. โรคพาร์กินสัน
    ส่วนใหญ่ผู้ป่วยโรคพาร์กินสันมักมีอาการเกร็ง มือสั่น เท้าสั่น และเคลื่อนไหวได้ช้า ส่งผลให้การตัดสินใจช้ากว่าปกติ แถมยังเสี่ยงต่อการเกิดอุบัติเหตุได้ง่าย เนื่องจากสมรรถภาพในการขับขี่ไม่ดีเท่าที่ควร
  2. โรคเกี่ยวกับสายตา
    ไม่ว่าจะเป็นต้อหิน ต้อกระจก รวมถึงจอประสาทตาเสื่อม ส่งผลต่อทัศนวิสัยในการมองเห็น มุมมองสายตาแคบลง และมองไฟจราจรพร่ามัว
  3. โรคความดันโลหิตสูง
    เกิดจากสมองขาดเลือดไปเลี้ยง ทำให้การทำงานของสมองหยุดชะงัก หากเกิดความเครียดขณะขับรถยิ่งทำให้ความดันเพิ่มสูงขึ้น รวมถึงเกิดอาการอื่น ๆ ร่วมด้วย เช่น วิงเวียนศีรษะ หน้ามืด แขนขาอ่อนแรง จนถึงขั้นเส้นเลือดในสมองแตกได้
  4. โรคลมชัก
    เกิดจากคลื่นไฟฟ้าในสมองทำงานผิดปกติ มักเกิดอาการชัก เกร็ง และกระตุกโดไม่รู้สึกตัว หากอาการกำเริบจะทำให้ไม่สามารถควบคุมการเคลื่อนไหวของร่างกาย รวมถึงควบคุมการขับขี่ได้
  5. โรคหัวใจ
    ผู้ป่วยโรคนี้หากเกิดความเครียด หรือกดดันจากการขับรถเป็นเวลานาน อาจทำให้เกิดอาการแน่นหน้าอก เจ็บหน้าอก หรือบางคนอาจรุนแรงจนถึงขั้นหัวใจวายเฉียบพลันได้
  6. โรคเบาหวาน (ระยะควบคุมไม่ได้)
    หากผู้ป่วยมีปริมาณน้ำตาลในเลือดต่ำ จะเกิดอาการวิงเวียนศีรษะ หน้ามืด สายตาพร่ามัว ใจสั่น จนถึงขั้นหมดสติได้
  7. โรคทางสมองและระบบประสาท
    จะมีเพียงอาการหลงลืม ตัดสินใจช้า จดจำเส้นทางไม่ได้ ขาดสมาธิในการขับขี่ ซึ่งเสี่ยงต่อการขับรถหลงทางมากกว่าปกติ
  8. โรคหลอดเลือดสมอง
    คือ ผู้ป่วยที่มีอาการกล้ามเนื้ออ่อนแรง รวมถึงสมองสั่งการได้ช้าลง ส่งผลต่อการตัดสินใจและตอบสนองในการขับขี่
  9. โรคข้อเสื่อม ข้ออักเสบ
    เนื่องจาก “ข้อเสื่อมสภาพ” ทำให้ไม่สามารถเคลื่อนไหวร่างกายได้อย่างเต็มที่ หากเกิดอุบัติเหตุบนท้องถนนขึ้น อาจทำให้ได้รับบาดเจ็บรุนแรงได้

ทำใบขับขี่รถยนต์ ทำไมต้องมีใบรับรองแพทย์ ?

เหตุผลที่กรมการขนส่งทางบกกำหนดให้นำใบรับรองแพทย์ หรือใบตรวจสุขภาพมาเป็น “หลักฐาน” ประกอบการทำใบขับขี่ และต่ออายุใบขับขี่รถยนต์ เป็นเพราะว่าผู้ขับขี่บางคนอาจมีสมรรถภาพร่างกายเปลี่ยนแปลง ซึ่งเป็นไปตาม ‘อายุ’ ของผู้ขับขี่เอง รวมถึงการมีโรคประจำตัวเพิ่มขึ้น จึงจำเป็นต้องออกข้อกำหนดให้ต้องมีใบรับรองแพทย์ ตามข้อกำหนดที่ว่า “ผู้ใช้ยานยนต์ใด ๆ ที่ต้องการสอบใบอนุญาตขับขี่ หรือต้องการต่อใบอายุใบขับขี่รถยนต์ ให้ใบขับขี่อยู่ในสถานะที่ใช้งานได้ ต้องมีเอกสารรับรองแพทย์มาเป็นหลักฐานประกอบ” โดยประกอบด้วยเอกสาร 2 ส่วน ดังนี้
  1. เอกสารส่วนที่ผู้ทำใบขับขี่รับรองสุขภาพของตัวเอง
  2. เอกสารส่วนของแพทย์ หรือเอกสารตามโปรแกรมตรวจสุขภาพที่แพทย์รับรอง และแสดงให้เห็นว่าผู้ขอตรวจไม่มีโรคประจำตัว หรือไม่เป็นโรคร้ายแรงตามที่ขนส่งกำหนด ซึ่งเป็นอันตรายต่อการขับรถ

เนื่องจากอุบัติเหตุทางถนนสามารถเกิดขึ้นได้ตลอดเวลา นอกจากตรวจสุขภาพประจําปีเพื่อให้ความสำคัญกับสุขภาพร่างกาย และความปลอดภัยของคนรอบข้างแล้ว การทำประกันรถก็เป็นหนึ่งในสิ่งที่ควรให้ความสำคัญเช่นเดียว มิสเตอร์ คุ้มค่า เป็นหนึ่งใน “ตัวเลือก” ที่พร้อมเคียงข้างคุณทุกภัย ไม่ว่าจะเดินทางไปที่ไหน เรามีศูนย์หรืออู่ในเครือให้เข้ารับบริการทั่วประเทศ แถมยังมีบริษัทประกันภัยชั้นนำให้เลือกมากมาย เบี้ยสบายกระเป๋า เปรียบเทียบประกันรถยนต์ได้ก่อนใคร ตลอด 24 ชั่วโมง

สอบใบขับขี่ครั้งแรกต้องเตรียมตัวยังไง ?

ขอย้ำอีกครั้งว่าใบขับขี่เป็น “เครื่องยืนยัน” ว่าคุณมีศักยภาพพร้อมต่อการขับรถบนท้องถนนตามกฎหมายจราจร หากขับรถโดยไม่มีใบอนุญาต ต้องระวางโทษไม่เกิน 1 เดือน หรือปรับไม่เกิน 1,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ ดังนั้นหากไม่อยากต้องโทษ ไปดูกันเลยว่าสอบใบขับขี่รถยนต์ครั้งแรกต้องเตรียมตัวยังไง

  • 1. เตรียมความพร้อมก่อนทำใบขับขี่รถยนต์

    สำหรับการสอบใบขับขี่ครั้งแรก ต้องทำความเข้าใจก่อนว่ามีการทดสอบทั้งหมด 3 แบบ คือ การทดสอบสมรรถภาพร่างกาย, ข้อเขียน และการสอบใบขับขี่ภาคปฏิบัติ แนะนำให้อ่านตัวอย่างข้อสอบ ฝึกฝนการขับขี่ ให้สามารถทำท่าทางการสอบได้อย่างคล่องแคล่ว

  • 2. สอบข้อเขียนด้วยคอมพิวเตอร์

    เป็นการสอบผ่านระบบ Electronic Examination (E-exam) มีทั้งหมด 50 ข้อ และผู้สอบจะต้องทำให้ถูก ‘อย่างน้อย’ 90% หรือ 45 ข้อ หากไม่ผ่านจะต้องมาสอบใหม่ในวันถัดไป หรือไม่เกิน 90 วันหลังอบรม

    โดยเนื้อหาที่ใช้สอบจะครอบคลุมการใช้รถทุกอย่างตามข้อกำหนดของ พ.ร.บ. จราจรทางบก เช่น เครื่องหมายพื้นทาง, ป้ายเตือน, เทคนิคการขับขี่ปลอดภัย ,​ การบำรุงรักษารถ ฯลฯ
  • 3. การสอบปฏิบัติ

    การสอบปฏิบัติจะมีอยู่ด้วยกันทั้งหมด 3 ค่า ดังนี้

    • การขับรถเดินหน้า-ถอยหลังในทางตรง
    • การขับรถ-หยุดรถเทียบทางเท้า ต้องจอดเทียบห่างจากขอบทาง ประมาณ 25 เซนติเมตร โดยห้ามให้ล้อเบียดขอบฟุตบาท ห้ามเหยียบเส้นด้านข้าง รวมถึงห้ามเกินเส้นหยุดรถด้านหน้า และห่างได้ไม่เกิน 1 เมตร
    • การขับรถถอยเข้าซอง คล้ายกับการจอดเทียบทางเท้า แตกช่องที่ต้องเข้าจอดจะเป็นช่องสี่เหลี่ยม มีเสาล้อมรอบ รวมถึงมีช่องว่างกว้างกว่ารถยนต์เล็กน้อย สามารถเปลี่ยนเกียร์ได้ไม่เกิน 7 ครั้ง ห้ามชน ห้ามเบียดเสา ที่สำคัญเมื่อจอดแล้วกระจกมองข้างต้องไม่ล้ำออกนอกเส้นที่กำหนด

ใบอนุญาตขับขี่แต่ละประเภท ต่างกันยังไง ?

หากเป็นการแบ่งตาม “ประเภท” ของใบขับขี่ จะแบ่งออกเป็น 2 ประเภท และมีรายละเอียดที่แตกต่างกัน ดังนี้
  1. ประเภทส่วนบุคคล (บ.)
    คือ ใบอนุญาตเป็นผู้ขับรถประเภทส่วนบุคคล ใช้สำหรับรถในการขนส่งส่วนบุคคล จำพวกรถทะเบียนขาว ตัวเลข และตัวอักษรสีดำ
  2. ประเภททุกประเภท (ท.)
    คือ ใบอนุญาตเป็นผู้ขับรถประเภททุกประเภท จำพวกรถที่มีแผ่นป้ายทะเบียนสีเหลือง ซึ่งสามารถใช้ ‘ทดแทน’ ใบอนุญาตเป็นผู้ขับรถประเภทส่วนบุคคล และใบอนุญาตเป็นผู้ขับรถสาธารณะตามกฎหมายว่าด้วยรถยนต์ได้

ขั้นตอนการทำใบขับขี่มีอะไรบ้าง ?

สำหรับขั้นตอนการทำใบขับขี่ไม่ยาก และไม่วุ่นวายอย่างที่คิด หลัก ๆ แล้วมีทั้งหมด 7 ขั้นตอน ดังนี้

  • 1. จองคิวต่อใบขับขี่ออนไลน

    สำหรับผู้ที่ต้องการทำใบขับขี่ใหม่ ต้องจองคิวผ่านทางแอปพลิเคชัน DLT Smart Queue หรือเว็บไซต์กรมการขนส่งทางบกล่วงหน้า โดยต้องบันทึกหน้าจอการจองคิวไว้เป็นหลักฐาน สำหรับใช้แสดงต่อเจ้าหน้าที่ที่สำนักงานขนส่ง
  • 2. เตรียมเอกสารที่จำเป็นต้องใช้

    เอกสารในการทำใบขับขี่ใหม่ หลัก ๆ มี 2 อย่าง คือ บัตรประจำตัวประชาชน (ตัวจริง) และใบรับรองแพทย์อายุไม่เกิน 1 เดือน จะจากแพทย์ที่คลินิกหรือโรงพยาบาลก็ได้
  • 3. ทดสอบสมรรถภาพร่างกาย

    หลัก ๆ จะมีการทดสอบ 4 อย่าง คือ ทดสอบการมองเห็นสี (เขียว เหลือง แดง), ทดสอบสายตาทางลึก,​ ทดสอบสายตาทางกว้าง และทดสอบปฏิกิริยา โดยการเหยียบเบรกหลังเห็นไฟสัญญาณ
  • 4. เข้ารับการอบรม

    สำหรับคนที่ไม่เคยมีใบขับขี่รถยนต์มาก่อน (ทำใบขับขี่ครั้งแรก) จะไม่สามารถเข้ารับการอบรมผ่านแพลตฟอร์มออนไลน์ได้ ต้องเข้ารับการอบรมที่สำนักงานเท่านั้น โดยใช้เวลาทั้งหมด 5 ชั่วโมง แบ่งออกเป็นช่วงเช้าและช่วงบ่าย
  • 5. สอบข้อเขียน

    เป็นการสอบข้อเขียนผ่านระบบ E-exam จำนวน 50 ข้อ ผู้สอบจะต้องทำให้ได้อย่างน้อย 45 ข้อ ถึงจะถือว่าผ่านเกณฑ์ที่กำหนด
  • 6. สอบปฏิบัติ หรือทดสอบขับรถ

    ส่วนใหญ่จะเป็นการสอบในวันถัดไป โดยผู้สอบสามารถนัดหมายล่วงหน้าก่อนสอบได้ ซึ่งการทดสอบจะมีทั้งหมด 3 ท่าตามที่บอกไปก่อนหน้า คือ การจอดเทียบทางเท้า, การขับรถเดินหน้า-ถอยหลัง และการถอยเข้าซอง
  • 7. ถ่ายรูปทำใบขับขี่ และชำระเงิน

    ในขั้นตอนนี้จะมีค่าบริการทำใบขับขี่รถยนต์ส่วนบุคคลชั่วคราว 200 บาท และค่าคำขอ 5 บาท

ขอย้ำอีกครั้งว่าอุบัติเหตุรถยนต์ สามารถเกิดขึ้นได้ตลอดเวลาหลัก ๆ เป็นเพราะความประมาท และรองลงมาคือความไม่พร้อมด้านร่างกาย การรักษาสุขภาพจึงเป็นสิ่งที่สำคัญมาก ๆ หากคุณละเลยการดูแลสุขภาพให้พร้อม หรือเป็นโรคร้ายแรงจะไม่สามารถทำใบขับขี่รถยนต์ได้ ไม่ว่าจะกรณีใด ๆ ก็ตาม

คำจำกัดความ
กรมการขนส่งทางบก กรมที่ทำหน้าที่ควบคุมและจัดระเบียบการขนส่งทางถนนภายในประเทศและระหว่างประเทศ จดทะเบียนและเก็บภาษีรถ และออกใบอนุญาตขับรถ
โรคร้ายแรง โรคที่ต้องใช้เทคโนโลยี หรือเทคนิคการแพทย์แบบเฉพาะทางในการรักษา เพราะเป็นโรคที่รักษาหายได้ยากกว่าโรคทั่วไป ส่งผลให้ต้องรักษาตัวต่อเนื่องเป็นเวลานาน

เปรียบเทียบราคา หรือ ต้องการรายละเอียดเพิ่มเติม เจ้าหน้าที่เราพร้อมให้บริการ

บทความที่น่าสนใจ

เพราะเรารู้ว่าคุณรู้สึกสับสนและมึนหัวเพียงใด ในตอนที่ต้องเลือกผลิตภัณฑ์ที่ใช่