ส่วนของแบตเตอรี่รถยนต์ นับหนึ่งในชิ้นส่วนที่หลายคนมองข้าม ใช้งานแบบปล่อยใจ ปล่อยจอย รู้ตัวอีกทต้องเปลี่ยนแบตเตอรี่รถยนต์เพราะเหตุผล “แบตเสื่อม” อย่างไม่ทันตั้งตัว มิสเตอร์ คุ้มค่า จึงได้รวบรวมรายละเอียดที่น่าสนใจ ทั้งการดูแลแบตเตอรี่ และวิธีสังเกตว่าเมื่อไหร่ที่ควรเปลี่ยนแบตรถยนต์สักที และอีกมากมาย เพื่อยืดอายุการใช้งานรถยนต์ให้ยาวนานยิ่งขึ้น จะมีประเด็นไหนที่ควรรู้บ้าง ? ตามไปทำความเข้าใจกันเลยดีกว่า
แบตเตอรี่รถยนต์มีอายุการใช้งานนานกี่ปี ?
ตามปกติแล้วแบตเตอรี่รถยนต์ไม่จำเป็นต้องเปลี่ยนบ่อย (ถ้าไม่เสื่อมซะก่อน) เพราะแบตเตอรี่รถยนต์แบบแห้งมีอายุการใช้งานอยู่ที่ประมาณ 2 ปี แต่ถ้าได้รับการดูแลเป็นอย่างดี อาจมีอายุการใช้งานนานถึง 5 ปีก็มี แต่ถ้าหากอ้างอิงจากผู้เชี่ยวชาญ ส่วนใหญ่จะแนะนำให้เปลี่ยนแบตรถยนต์ทุก ๆ 18 เดือน เพื่อการใช้งานที่มีประสิทธิภาพมากที่สุด แถมยังช่วยป้องกันอาการแบตเสื่อมกลางคันได้อีกด้วย
แบตเตอรี่รถยนต์เสื่อม เกิดจากสาเหตุอะไร ?
แบตเตอรี่รถยนต์ ถือเป็นหนึ่งในชิ้นส่วนที่ละเอียดอ่อน เพราะอย่างที่บอกไปแล้วว่าพฤติกรรมการขับขี่ การบรรทุกของหนัก รวมถึงการชาร์จแบตมือถือทุกวัน ฯลฯ ล้วนส่งผลต่ออายุการใช้งานทั้งหมด ปล่อยใจ ปล่อยจอยเพียงแวบเดียวอาจทำให้แบตเสื่อมได้ง่าย ๆ หากยังมองภาพไม่ออก ตามไปทำความเข้าใจรายละเอียดเพิ่มเติมกันเลย
1. การชาร์จอุปกรณ์ไฟฟ้าบนรถ
อธิบายให้เข้าใจก่อนว่าแบตเตอรี่รถยนต์ มีหน้าที่ในการสร้างกระแสไฟฟ้าเพื่อป้อนระบบการทำงานของชิ้นส่วนภายในรถ ที่มีความจำเป็นต้องใช้พลังงานไฟฟ้าในการทำงาน ดังนั้นการชาร์จโทรศัพท์มือถือ รวมถึงอุปกรณ์อื่น ๆ เช่น กล้องติดรถยนต์ ไอแพด แท็ปเล็ต หรืออุปกรณ์ไฟฟ้าต่าง ๆ ล้วนทำให้กระแสไฟฟ้าถูกแบ่งออกไปใช้ได้หมด
หมายความว่าแบตเตอรี่ต้องทำงานหนักขึ้น เพื่อให้กระแสไฟฟ้าเพียงพอสำหรับระบบภายในรถ ยิ่งถ้าระหว่างชาร์จโทรศัพท์มือถือมีการใช้งานควบคู่ไปด้วย ไม่ว่าจะโทรคุย ส่งข้อความ เล่นแอปต่าง ๆ ยิ่งดึงกระแสไฟฟ้ามาใช้มากขึ้น ทำให้อายุแบตฯ รถสั้นลง และเสื่อมเร็วขึ้นได้
2. พฤติกรรมการขับขี่
นอกจากพฤติกรรมการขับขี่แล้ว ระยะทางการขับขี่ในชีวิตประจำวันย่อมส่งผลต่ออายุของแบตเตอรี่รถยนต์ด้วยเช่นกัน แม้กระทั่งจอดรถที่บ้านเฉย ๆ ไฟในแบตฯ ยังหมดได้ ทำให้อายุการใช้งานแบตเตอรี่สั้นลงตามระยะเวลาที่จอดทิ้งไว้ไม่มีการใช้งาน หรือคอยดูแลสตาร์ทเครื่องยนต์อย่างสม่ำเสมอ
3. ประเภทของแบตเตอรี่
แบตเตอรี่รถยนต์มีทั้งหมด 3 ประเภท คือ แบบเปียก, แบบกึ่งแห้ง และแบบแห้ง ซึ่งมีรายละเอียดแตกต่างกัน ดังนี้
- แบตเตอรี่แบบเปียก : ต้องอาศัยการเติมน้ำกลั่นอย่างสม่ำเสมอ อย่างน้อยสัปดาห์ละ 1 ครั้ง และมีอายุการใช้งานอยู่ที่ 1-2 ปี
- แบตเตอรี่แบบกึ่งแห้ง : อาศัยการเติมน้ำกลั่นเช่นเดียวกัน แต่จะเติมอย่างน้อยเดือนละ 1 ครั้ง และมีอายุการใช้งานอยู่ที่ 1-2 ปี สูงสุดไม่เกิน 3 ปี
- แบตเตอรี่แบบแห้ง : ไม่จำเป็นต้องเติมน้ำกลั่นเหมือนกับ 2 ประเภทแรก มีอายุการใช้งานประมาณ 5-10 ปี แลกมาด้วยราคาที่สูงกว่า
เลือกซื้อแบตรถยนต์ที่ร้านแบตเตอรี่รถยนต์ใกล้ฉัน ยังไงให้ตอบโจทย์ ?
หลายคนมักเลือกซื้อของ “ที่ดีที่สุด” ให้กับตัวเอง รวมถึงเมื่อเข้ารับบริการที่ร้านเปลี่ยนแบตเตอรี่รถยนต์ด้วยเช่นกัน แต่แบตเตอรี่ที่ดีที่สุด ไม่ได้หมายความว่าจะเหมาะกับรถยนต์คันโปรดของคุณเสมอไป เนื่องจากรถยนต์แต่ละคันมีวัตถุประสงค์การใช้งานที่ต่างกัน ดังนั้นการจะเปลี่ยนแบตเตอรี่รถยนต์เพราะคำว่าดีที่สุด หรือใคร ๆ ใช้แบบนี้ อาจเป็นการตัดสินใจที่ผิดพลาดก็ได้
ซึ่งถ้าหากในระหว่างที่รอเปลี่ยนแบตรถยนต์ แล้วคุณยังหาคำตอบไม่ได้ว่าจะต้องเลือกแบบไหน เพื่อให้ได้แบตรถยนต์ที่ตอบโจทย์ หรือเปลี่ยนแบต รถยนต์ ราคาคุ้มค่า ไม่ต้องมานั่งเสียดายภายหลัง เรามีทริคในการเลือกซื้อมาให้แล้ว โดยมีรายละเอียดดังนี้
เลือกแบตเตอรี่ที่มีกำลังไฟสูงกว่าค่ามาตรฐานรถยนต์
เพื่อเป็นการยืดอายุการใช้งานของแบตเตอรี่ให้มากขึ้น โดยอาจเพิ่มราคาแบตเตอรี่เล็กน้อย แต่ได้ความคุ้มค่าที่มากกว่า
เลือกซื้อจากร้านเปลี่ยนแบตเตอรี่รถยนต์ที่ได้มาตรฐาน
ไม่ว่าจะเป็นการเปลี่ยนแบตรถยนต์ นอกสถานที่ที่มีชื่อเสียง หรือมีบริการหลังการขายที่ดี เพื่อเพิ่มความมั่นใจในการรับบริการ และเมื่อเกิดปัญหาใด ๆ ขึ้นก็จะมีคนรับผิดชอบ ไม่ถูกปล่อยให้เคว้งเพียงลำพัง
เปรียบเทียบราคาแบตเตอรี่แต่ละยี่ห้อและแต่ละรุ่น
พร้อมเทียบกับกำลังไฟ (แอมป์) เพื่อใช้ในการพิจารณาความคุ้มค่าแต่ละยี่ห้อที่แตกต่างกัน มากกว่าการเปรียบเทียบภายในยี่ห้อเดียวกับเพียงอย่างเดียว
การซื้อหรือเปลี่ยนแบตเตอรี่รถยนต์อย่างถูกต้องแล้ว จะช่วยยืดอายุการใช้งานให้ยาวนานยิ่งขึ้น แถมยังลดปัญหาอื่น ๆ ที่อาจตามมาได้เป็นอย่างดี แต่เปลี่ยนแบตรถยนต์ราคาที่คุ้มค่าก็คนละเรื่องกับ “อุบัติเหตุ” ซึ่งเป็นเหตุการณ์ที่หลีกเลี่ยงได้ยาก และก่อเห้เกิดความเสียหายตามมามากมาย ดังนั้นการเลือกซื้อประกันภัยรถยนต์เป็นหนึ่งตัวเลือกที่ดี ที่จะช่วยให้คุณไม่ต้องเผชิญหน้ากับปัญหาเพียงลำพัง แต่ถ้าไม่รู้จะเลือกซื้อแบบไหน เข้ามาเช็คเบี้ยประกันรถยนต์กับ มิสเตอร์ คุ้มค่า ก่อนใครได้เลย
อาการแบบไหนที่ควรเปลี่ยนแบตเตอรี่รถยนต์ได้แล้ว ?
อาการที่สามารถเช็คได้ว่าตอนไหนถึงเวลาเปลี่ยนแบตเตอรี่รถยนต์ได้แล้ว คือ “อาการแบตเสื่อม” และอาการที่เกิดจากชิ้นส่วนอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้องกับแบตเตอรี่ ซึ่งรถยนต์คู่ใจของคุณจะแสดงอาการผิดปกติให้เห็นอย่างชัดเจน หากปรากฏอาการทั้ง 5 ข้อ ครบจบในม้วนเดียวเตรียมเลี้ยวเข้าร้านเปลี่ยนแบตเตอรี่รถยนต์ใกล้ฉันได้เลย
1. รถสตาร์ทติดยาก
ต้องบอกก่อนว่าอาการรถสตาร์ทติดยากเกิดขึ้นได้จากหลายสาเหตุ แต่หนึ่งในนั้นอาจเป็นเพราะแบตเสื่อมได้เช่นกัน โดยสังเกตได้จากในตอนที่บิดกุญแจแล้วมีเสียง ‘แชะ’ จากนั้นเงียบไป และไฟแบตเตอรี่ไม่โชว์ที่หน้าปัด
2. เสียงแตรเบาลง
วันดีคืนดีบีบแตรแล้วรู้สึกว่าไม่ดังเหมือนเดิม หรือบางครั้งไม่ดังเลย ไม่มีอะไรเกิดขึ้น หมายความว่ากำลังไฟในแบตเตอรี่มีไม่พอหรือแบตเสื่อม ถึงเวลาที่ต้องเปลี่ยนแบตรถยนต์ได้แล้ว
3. ระบบไฟฟ้าภายในรถทำงานผิดปกติ
แนะนำให้สังเกตการทำงานของระบบไฟต่าง ๆ เช่น ไฟหน้ารถสว่างน้อยลง, กระจกไฟฟ้าขึ้น-ลงช้ากว่าปกติ หรือสังเกตจากเสียงแตรตามที่เราบอกไปก่อนหน้านี้ ซึ่งทั้งหมดคือสัญญาณแบตเสื่อมนั่นเอง
4. ใช้งานแบตเกินปีครึ่ง
อย่างที่บอกว่าแบตเตอรี่รถยนต์มีอายุการใช้งานกำหนดไว้ชัดเจน ไม่ใช่ชิ้นส่วนที่ใช้งานได้ตลอดไป ซึ่งปกติจะมีอายุเฉลี่ยที่ 1-3 ปีตามประเภทของแบตเตอรี่ หากใช้งานมาเกินครึ่งปีแล้วก็ควรจะเปลี่ยน เพราะเสี่ยงเผชิญหน้ากับเหตุการณ์แบตใกล้หมด แบตเสื่อม เป็นต้น
5. สัญลักษณ์บนหน้าปัดรถยนต์ขึ้นเตือนสัญญาณไฟรูปแบตเตอรี่
หากสังเกตเห็นว่ามีไฟรูปแบตเตอรี่ขึ้นเตือนบนหน้าปัด รู้ไว้เลยว่าแบตเตอรี่กำลังมีปัญหา อาจเกิดจากไดชาร์จ สายแบตหลวม หรือสึกกร่อน แนะนำให้นำรถไปให้ช่างหรือผู้เชี่ยวชาญตรวจเช็กสักหน่อย
แบตหมดกลางคัน หาร้านแบตเตอรี่รถยนต์ใกล้ฉันไม่ได้ ทำยังไงดี ?
ในกรณีที่รถยนต์แสดงความอาการผิดปกติก็แล้ว แต่ยังฝืนใช้งานรถยนต์ต่อ จนทำให้เกิดเหตุการณ์แบตหมดกลางคัน หาร้านแบตเตอรี่รถยนต์ใกล้ฉันไม่ได้เลย สิ่งที่สามารถทำได้และดีที่สุด ณ ช่วงเวลานั้น คือ “จั้มแบต” แต่จะต้องทำยังไง ไปดูกันเลย
1. เตรียมสายจั้มแบต
ขั้นแรกให้เตรียมสายจั้มแบตหรือสายพ่วงแบตให้เรียบร้อย ซึ่งปกติแล้วจะมีอยู่ด้วยกัน 2 เส้น คือ สายสีแดง (ประจุไฟขั้วบวก) และสายสีดำหรือสีเขียว (ประจุไฟขั้วลบ) ความยาวของทั้ง 2 เส้น ยาวพอที่จะพ่วงแบตจากรถอีกคันได้โดยไม่ต้องจอดชิดกันมาก
2. ปิดอุปกรณ์ไฟฟ้าทุกชนิด
เมื่อเตรียมสายจั้มแบตเรียบร้อยแล้ว และมีรถยนต์หรือแบตอีกก้อนที่พร้อมจะจั้มแล้ว ให้นำรถมาจอดใกล้กัน (แต่ไม่ต้องชิดกันมาก เพื่อป้องกันประกายไฟ) จากนั้นให้ปิดอุปกรณ์ไฟฟ้าทุกชนิดก่อนทำขั้นตอนต่อไป
3. ต่อสายจั้มแบตรถยนต์เข้าด้วยกัน
นำสายจั้มแบตข้างที่เป็นสีแดง (ขั้วบวก) ต่อเข้ากับแบตเตอรี่ขั้วบวกของรถคันที่แบตหมด แล้วนำสายสีดำหรือสีเขียว (ขั้วลบ) ไปต่อเข้ากับแบตเตอรี่ขั้วลบของรถอีกคันที่ปกติ ส่วนปลายอีกด้านให้หนีบตรงโลหะของเครื่องยนต์
4. สตาร์ทเครื่องยนต์
หลังจากต่อสายเรียบร้อยแล้ว ให้สตาร์ทเครื่องยนต์ของรถคันที่ปกติก่อน ประมาณ 3 นาที แล้วเร่งเครื่องเล็กน้อยเป็นช่วง ๆ เพื่อให้เกิดการถ่ายเทประจุไฟฟ้า จากนั้นค่อยสตาร์ทเครื่องยนต์ของรถคันที่แบตหมด เพื่อทดสอบว่ามีประจุไฟฟ้าเข้ามาที่แบตเตอรี่แล้วหรือยัง
5. ถอดสายจั้มแบต
เมื่อทำการจั้มแบตเรียบร้อยแล้ว ให้ถอดสายจั้มแบตออก ด้วยการถอดจากขั้วลบของรถคันที่แบตหมดก่อน แล้วค่อยถอดขั้วลบและขั้วบวกของรถคันปกติตามลำดับ (ระวังอย่าให้สายจั้มแบตต่างขั้วมาสัมผัสกันเด็ดขาด)
แม้ว่าแบตรถจะมีอายุการใช้งานที่กำหนดว่าต้องเปลี่ยนแบตเตอรี่รถยนต์ชัดเจนอยู่แล้ว แต่ถ้าไม่อยากให้แบตเสื่อมเร็วกว่าที่ควร ควรดูแลรถและใช้งานอย่างทะนุถนอม ไม่เผลอลืมปิดไฟหน้ารถ หรือในรถทิ้งไว้ และเมื่อถึงเวลาเปลี่ยนหรือแบตเสื่อมจนต้องเปลี่ยน ควรเลือกร้านเปลี่ยนแบตเตอรี่รถยนต์ที่มีมาตรฐาน เพื่อป้องกันปัญหาอื่น ๆ ที่อาจเกิดขึ้นตามมา
คำจำกัดความ
กลางคัน | ที่เกิดขึ้นทันทีในระหว่างเหตุการณ์ หรือเหตุการณ์นั้นยังไม่จบ |
น้ำกลั่น | น้ำที่ผ่านขั้นตอนการทำน้ำให้ระเหยแล้วกลั่นตัวกลับเป็นหยดน้ำ มีความบริสุทธิ์สูง และปราศจากสิ่งเจือปน ใช้ประโยชน์ในทางอุตสาหกรรม |
เคว้ง | คว้าง, ลอยไปอย่างไร้จุดหมาย |