ติดตั้งที่ชาร์จรถไฟฟ้าที่บ้าน EV charger มีราคาและมีค่าใช้จ่ายเท่าไร ?

แชร์ต่อ
ราคาและค่าใช้จ่ายการติดตั้งที่ชาร์จรถไฟฟ้าที่บ้าน EV charger กับ MrKumka.com

เมื่อมีแพลนจะซื้อ “รถยนต์ไฟฟ้า” แล้วอยาก ติดตั้งที่ชาร์จรถไฟฟ้าที่บ้าน ต้องเตรียมตัวยังไง ต้องรู้อะไรบ้าง ? ค่าใช้จ่าย ระบบไฟ หรืออื่น ๆ หากคุณกำลังหาข้อมูลในส่วนนี้อยู่ MrKumka ได้รวบรวมมาให้คุณแล้ว จะน่าสนใจและเป็นประโยชน์แค่ไหน ไปทำความเข้าใจแบบเจาะลึกในเรื่องนี้พร้อม ๆ กับเราได้เลย !

อยากติดตั้งที่ชาร์จรถไฟฟ้าที่บ้าน ต้องเตรียมตัวยังไง ?

หากคิดจะติดตั้ง “ที่ชาร์จรถยนต์ไฟฟ้าที่บ้าน” สิ่งที่ควรทำมากที่สุดคือ “เช็กปริมาณการใช้ไฟในบ้าน” ร่วมกับเครื่องชาร์จไฟให้ดี ว่าระบบไฟฟ้าเดิมสามารถรองรับได้หรือไม่ ด้วยการเช็กตาม “คำแนะนำ” ดังต่อไปนี้

เช็กขนาดมิเตอร์ไฟ

หากบ้านของคุณมีขนาดมิเตอร์ “เล็กกว่า” 30 แอมป์ ควร ‘แจ้งเปลี่ยน’ ให้มีขนาดมากกว่า 30 แอมป์ขึ้นไป หรือถ้าหากเป็นมิเตอร์ 3 เฟส ก็ควรใช้ขนาด 15/45 เพื่อให้เพียงพอต่อการรองรับประมาณการใช้ไฟบ้านที่มากขึ้น ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับ “รุ่นรถยนต์ไฟฟ้าและคุณสมบัติของเครื่องชาร์จ” ด้วยเช่นกัน

เช็กขนาดสายไฟเมน

การติดตั้ง EV charger ที่บ้านควรตรวจสอบสายไฟเมน หรือขนาดสายไฟที่เชื่อมมายังตู้ควบคุม หากยังคงเป็นขนาด 16 มิลลิเมตร แนะนำว่าควรเปลี่ยนมาเป็นขนาด 25 ตารางมิลลิเมตร นอกจากนี้ยังควรใช้ตู้เมน ที่สามารถรองรับกระแสไฟได้สูงสุดไม่เกิน 100 แอมป์ด้วย

เช็กตู้ควบคุมไฟ

เช็กตู้ควบคุมไฟว่ามีช่องว่างสำหรับติดตั้ง Miniature Circuit Breaker หรือไม่ เนื่องจาก ev charger ต้องแยกช่องจ่ายไฟต่างหาก และควรมีขนาดตามพิกัดที่รองรับกระแสไฟของเครื่องชาร์จด้วย

เช็กเครื่องตัดไฟรั่ว

ควรเช็กให้ดีว่าบ้านของคุณติดตั้ง “อุปกรณ์ป้องกันไฟรั่ว” แล้วหรือยัง ซึ่งตามมาตรฐานแล้วควรมีพิกัดกระแสไฟรั่ว ‘ไม่เกิน’ 30 mA ภายในเวลา 0.04 วินาที เมื่อมีไฟรั่วขนาด 5 เท่าของพิกัด เว้นแต่ว่าตัวชาร์จรถยนต์จะติดตั้งระบบตัดไฟอยู่แล้ว ก็ไม่จำเป็นจะต้องติดตั้งเครื่องตัดไฟรั่วเพิ่ม

เช็กเต้ารับ

ต้องอธิบายให้เข้าใจก่อนว่า “เต้ารับ” ของเครื่องชาร์จรถยนต์ไฟฟ้า ‘ไม่เหมือน’ เต้ารับทั่วไป ซึ่งการเสียบชาร์จรถยนต์ไฟฟ้า ควรใช้แบบ 3 รู และใช้หลักดินแยกกับหลักดินระบบไฟฟ้าในบ้าน

เช็กตำแหน่งที่จะติดตั้ง ควรไว้ตรงไหนของบ้าน ?

การติดตั้งเครื่องชาร์จรถไฟฟ้าใช่ว่าอยากจะติดตั้งตรงไฟก็ได้ แต่ควรติดตั้งตาม “ระยะเหมาะสม” ดังนี้

ติดตั้งวอลชาร์จ (wall charger) ค่าใช้จ่ายมีอะไรบ้าง
  • ไม่เดินไฟไกลตู้

    การติดตั้งจุดชาร์จที่สามารถเดินสายไฟได้ไม่ไกลจาก “ตู้ควบคุมไฟฟ้า” จะช่วยเพิ่มความสะดวกสบาย แถมยังช่วยให้ประหยัดเวลา ประหยัดดค่าใช้จ่ายในการเดินสายไฟได้ค่อนข้างมาก

  • ไม่ควรห่างเกิน 5 เมตร

    ปกติแล้ว ‘สายชาร์จ EV Cherger’ มีความยาวไม่เกิน 7 เมตร หากติดตั้งห่างเกิน 5 เมตร นอกจากจะไปไม่ถึงตัวรถแล้ว การดึงบ่อย ๆ ก็เกิดผลเสียต่อสายชาร์จด้วยเช่นกัน

  • อยู่ในที่ร่ม

    จุดชาร์จที่ดีควรอยู่ในที่ร่ม มีหลังคาที่สามารถป้องกันฝนและแดดได้ ไม่ว่าจุดชาร์จจะมีคุณสมบัติที่แข็งแรงทนทาน ทนแดด ทนฝนได้มากขนาดไหน แต่การตั้งให้ตากแดด ตากฝนทั้งวันทั้งคืนคงไม่ใช่เรื่องดีเท่าไหร่

ติดตั้งวอลชาร์จ (wall charger) ค่าใช้จ่ายมีอะไรบ้าง ?

หลังจากเช็ก “ความพร้อม” ที่จะติดตั้งจุดชาร์จรถยนต์ไฟฟ้าเสร็จเรียบร้อยแล้ว เรามาดู “ค่าใช้จ่าย” ที่ตามมากันต่อเลยดีกว่า ซึ่งหลัก ๆ แล้วจะมีค่าใช้จ่ายทั้งหมด 3 ส่วน ดังนี้

  • ค่าเครื่องชาร์จ

    สำหรับ “ค่าเครื่องชาร์รถยนต์ไฟฟ้า” จะขึ้นอยู่กับยี่ห้อและขนาดของ ‘กำลังไฟง ที่ปล่อยออกมา ส่วนใหญ่เริ่มต้นที่ 15,000-100,000 บาท แต่แนะนำว่าควรศึกษาข้อมูลให้ดี ตั้งข้อมูลแบรนด์เครื่องชาร์ และแบรนด์รถยนต์ไฟฟ้าที่จะซื้อ เพราะบางแบรนด์ก็แถมให้ฟรี

  • ค่าเพิ่มขนาดมิเตอร์

    ค่าเพิ่มขนาดมิเตอร์หรือค่าขอมิเตอร์ลูกที่ 2 มีค่าใช้จ่ายที่แตกต่างกันออกไป ขึ้นอยู่กับพื้นที่ ขนาดมิเตอร์ที่ขอ และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เช่น พื้นที่ในกทม. นนทบุรี และสมุทรปราการ ต้องติดต่อการไฟฟ้านครหลวง โดยมีค่าตรวจสอบอยู่ที่ 700-2,500 บาท หรือถ้าหากต้องการค่าไฟแบบอัตรา TOU ก็มีค่าใช้จ่ายเพิ่มเติมอยู่ที่ 6,640-7,350 บาท

  • ค่าเดินสายเมนที่ 2 และอื่น ๆ

    ในปัจจุบันสามารถเลือก “ผู้ติดตั้ง” ที่มีความเชี่ยวชาญได้อย่างอิสระ ส่วนใหญ่ราคาเริ่มต้นที่ 10,000 บาท แต่ถ้าหากไม่อยากเสียเวลาหาข้อมูล สามารถเลือกใช้บริการจาก “การไฟฟ้า” ได้เช่นกัน แต่จะเป็นของการไฟฟ้าส่วนภูมิภาคเท่านั้น สำหรับการไฟฟ้านครหลวงมีเพียงบริการเพิ่มมิเตอร์ไฟฟ้าเท่านั้น

ทั้งหมดนี้คือรายละเอียดที่เรานำมาบอกต่อ หากคุณเป็นอีกหนึ่งคนสนใจ เพราะมองว่าประหยัดได้มากกว่า ก็ลองชั่งน้ำหนักและเปรียบเทียบค่าใช้จ่ายที่ตามมาดูก่อน ว่าตอบโจทย์ความต้องการได้จริงมั้ย ช่วยให้ประหยัดได้จริงหรือเปล่า หากมองว่าเปลี่ยนแล้วคุ้ม ก็เดินหน้าลุยต่อได้เลย แต่ยังไงก็อย่าลืมซื้อประกันรถยนต์ติดไว้ด้วยล่ะ เพื่อความอุ่นใจตลอดการเดินทาง จะได้ไม่ต้องมานั่งปวดหัวกับค่าใช้จ่ายที่ไม่จำเป็นจากอุบัติเหตุในอนาคต

เปรียบเทียบราคา หรือ ต้องการรายละเอียดเพิ่มเติม เจ้าหน้าที่เราพร้อมให้บริการ

บทความที่น่าสนใจ

เพราะเรารู้ว่าคุณรู้สึกสับสนและมึนหัวเพียงใด ในตอนที่ต้องเลือกผลิตภัณฑ์ที่ใช่