วิธีแก้ปัญหารถสตาร์ทไม่ติดเบื้องต้น ที่มือใหม่หัดขับทุกคนต้องรู้หน่อย

แชร์ต่อ
วิธีแก้ปัญหารถสตาร์ทไม่ติดเบื้องต้น กับ MrKumka.com

ใช้รถทุกวันเรื่องปัญหารถสตาร์ทไม่ติดคงไม่มีใครอยากเจอ แน่นอนว่ามาจากปัจจัยและสาเหตุต่าง ๆ นับไม่ถ้วนทำให้คุณอาจต้องเจอกับสถานการณ์นี้ โดยเฉพาะในเรื่องระบบไฟของรถซึ่งมีแบตเตอรี่เป็นหัวใจสำคัญ MrKumka ได้รวบรวมประเด็นที่น่าสนใจมาให้มือใหม่หัดขับทุกคนได้ทำความเข้าใจ ได้รู้เรื่องรถมากขึ้น สตาร์ทรถทุกครั้งอย่างมั่นใจ เมื่อเจอปัญหาก็แก้ได้เฉพาะหน้า​​​​​​​​​ แต่จะมีประเด็นอะไรบ้าง ตามไปดูกันเลย

สาเหตุที่ทำให้รถสตาร์ทไม่ติด มีอะไรบ้าง ?

สำหรับบางคนที่ไม่ค่อยมีความรู้เรื่องรถโดยเฉพาะมือใหม่หัดขับ เมื่อต้องเจอกับสถานการณ์รถสตาร์ทไม่ติดก็คงตกใจเอาเรื่อง ดังนั้นเราจึงจะพาไปดู “สาเหตุ” ที่ทำให้สตาร์ทรถไม่ติด เพื่อหาแนวทางแก้ไขกันต่อไป ซึ่งจะมีสาเหตุอะไรบ้างนั้น เราลิสต์มาให้หมดแล้ว

ขั้วแบตเตอรี่สกปรก

วิธีสังเกตว่าแบตเตอรี่สกปรกหรือไม่ ให้ดู “คราบขี้เกลือ” ที่ขั้วแบตเตอรี่ หากมีลักษณะเป็นคราวสีเขียวอมฟ้า จะทำให้กระแสไฟฟ้าไม่สามารถส่งไปยังส่วนต่าง ๆ ได้สะดวก จึงเป็นหนึ่งในสาเหตุที่ทำให้รถสตาร์ทไม่ติด

วิธีดูแลรถยนต์เบื้องต้น คือ ให้ทำความสะอาดคราบสกปรกดังกล่าวด้วย “น้ำโซดาและแปรงสีฟัน” ขัดไปที่ขั้วแบตสักพัก จากนั้นแบตเตอรี่ก็จะกลับมาสะอาด และทำงานได้เต็มประสิทธิภาพดังเดิม

แบตเตอรี่รถยนต์เสื่อม

ตามปกติแล้วแบตเตอรี่รถยนต์จะมีอายุการใช้งาน ประมาณ 2 ปี หากแบตเตอรี่เสื่อม มักจะมีอาการรถยนต์สตาร์ทไม่ติด แต่มีไฟ โดยจะติดยากมาก ๆ ในช่วงเช้า จอดรถทิ้งไว้นาน ๆ หรือจอดข้ามวันพอสตาร์ทรถตอนเช้าก็ไม่ค่อยติด วิธีแก้เบื้องต้น คือ ให้ลองจั๊มพ์สตาร์ทรถจากรถคันอื่น แต่ถ้าจั๊มพ์แล้วยังไม่หายแสดงว่าอาจมีปัญหาอื่น ๆ ร่วมด้วย

น้ำมันรถหมด

หนึ่งในสาเหตุที่หลาย ๆ คนมักมองข้าม เพราะคิดว่าตัวเองเช็กก่อนออกเดินทางมาดีแล้ว แต่การที่รถน้ำมันหมดถือเป็นสาเหตุต้น ๆ ที่ทำให้รถสตาร์ทไม่ติด ทางที่ดีไม่ควรปล่อยให้น้ำมันหมดเกือบเกลี้ยงถัง หรืออย่ารอให้ถึงขีดแดงก่อนค่อยเติม เพราะไม่อย่างนั้นอาจพบเจอกับสถานการณ์น่าปวดหัวได้

ไดชาร์จเสื่อมหรือเสีย

“ไดชาร์จ” มีหน้าที่สร้างกระแสไฟฟ้าจากการที่เครื่องยนต์ทำงาน แล้วส่งไปเก็บไว้ยังแบตเตอรี่ หากไดชาร์จเสีย เสื่อม หรือเสียหาย จะไม่สามารถส่งไฟไปยังแบตเตอรี่ได้ จึงทำให้รถยนต์เกิดอาการคล้ายแบตเตอรี่เสื่อม และทำให้รถสตาร์ทไม่ติดในที่สุด

ทั้งหมดนี้คือสาเหตุคร่าว ๆ ที่ทำให้รถสตาร์ทไม่ติด หากไม่อยากพบเจอกับปัญหาน่าปวดหัว หรือเหตุการณ์ที่ทำให้การเดินทางต้องสะดุด แนะนำให้ดูแลรถยนต์ให้ดีอยู่เสมอ หมั่นตรวจเช็คสภาพรถก่อนออกเดินทางทุกครั้ง “อย่างละเอียด” เพราะนอกจากจะช่วยลดอุปสรรคในการเดินทางได้แล้ว ยังช่วยลดความเสี่ยงในการเกิดอุบัติเหตุได้เป็นอย่างดีด้วย

รถสตาร์ทไม่ติดต้องใช้รถยก/รถลาก แบบนี้ประกันจ่ายไหม ?

หากพบว่ารถสตาร์ทไม่ติดทำยังไงก็แก้ปัญหาไม่ได้ จนต้องเรียกใช้บริการรถยก/รถลาก มือใหม่หัดขับหลายคนจึงเกิดความสงสัย ว่าแบบนี้ประกันภัยรถยนต์จ่ายค่าบริการในส่วนนี้ให้หรือไม่? คำตอบคือ “ขึ้นอยู่กับกรมธรรม์ที่ทำไว้” หมายความว่าบริการรถยกหรือรถลาก ส่วนใหญ่บริษัทประกันภัยรถยนต์จะมีให้บริการอยู่แล้ว แต่อาจมีเงื่อนไขในเรื่องของประเภทรถที่ใช้ลากจูง ระยะทาง หรือวงเงินเข้ามาเกี่ยวข้อง

ทั้งนี้ บางบริษัทก็ไม่ได้ครอบคลุมในส่วนนี้ จึงเป็นเหตุผลที่มือใหม่หัดขับควรเช็กให้รอบคอบก่อนตัดสินใจทำประกันทุก ๆ ครั้ง ว่ามีบริการรถยกหรือรกลากกรณีสตาร์ทรถหรือไม่ นอกจากนี้ยังควรดูในเรื่องของ “บริการช่วยเหลือฉุกเฉิน” กรณีแบตเตอรี่หมดด้วย แต่ถ้าอยากได้ประกันภัยรถยนต์ที่ครอบคลุม ครบเครื่องเรื่องความคุ้มครอง MrKumka เป็นอีกหนึ่งตัวเลือกที่น่าสนใจ แถมยังสามารถเช็คราคาประกันรถยนต์ ได้ก่อนใครอีกด้วย

ความต่างของรถลาก vs รถยก เป็นอย่างไร ?

หากต้องพบเจอปัญหารถสตาร์ทไม่ติดจนต้องเรียกใช้บริการรถยกหรือรถลาก ขอให้รู้ไว้ก่อนเลยว่าทั้ง 2 อย่าง “ไม่เหมือนกัน” เราได้รวบรวมรายละเอียดต่าง ๆ มาให้คุณได้เรียนรู้เรื่องรถเรียบร้อยแล้ว ไปดูกันเลย

รถลากจูง

เป็นการใช้รถคันหนึ่งเพื่อลากจูงรถอีกคันที่รถยนต์สตาร์ทไม่ติด แต่มีไฟ ด้วยการใช้ “ตะขอ” ยึดห่วงลากจูงบริเวณช่วงล่างของรถ พร้อมกับยกส่วนนั้นขึ้นเพื่อเคลื่อนย้ายไปยังสถานที่ปลายทางต่าง ๆ เช่น ศูนย์บริการ หรืออู่ซ่อม บริการนี้เหมาะสำหรับรถยนต์ที่ขับเคลื่อนด้วย 2 ล้อ ระบบที่ส่งกำลังไปยังล้อคู่หน้าหรือคู่หลัง ในส่วนของค่าบริการก็ย่อมเยากว่ารถยก

รถยก

รถยกหรือ Slide on เป็นการ “ยกรถทั้งคัน” ไว้บนหลังรถอีกคันหนึ่ง ส่วนใหญ่มักใช้กับรถยนต์ที่ขับเคลื่อนด้วย 4 ล้อ ที่เป็นระบบส่งกำลังไปยังล้อทั้ง 4 หรืออีกกรณีคือเกิดอุบัติเหตุหนัก หรือเกิดความเสียหายกับล้อรถยนต์อย่างรุนแรง ค่าบริการจึงสูงกว่ารถลากจูงพอสมควร แต่ก็แลกมาด้วย “ความปลอดภัย” ที่มากกว่า

สิ่งที่ควรรู้ก่อนเลือกใช้บริการรถลาก/รถยกเมื่อรถยนต์สตาร์ทไม่ติด แต่มีไฟ

หากเกิดเหตุการณ์รถสตาร์ทไม่ติดหรือรถจอดเสียอยู่ข้างทาง และต้องเรียกใช้บริการรถลากจูงหรือรถลาก ‘ก่อน’ ที่จะเรียกใช้บริการควรเช็กสิ่งเหล่านี้ให้ดีก่อน

  • เปิดไฟฉุกเฉินเพื่อความปลอดภัย แนะนำให้ตั้งป้ายสามเหลี่ยมที่มาพร้อมกับรถ พร้อมกับเปิดไฟฉุกเฉิน เพื่อป้องกันไม่ให้รถที่ขับผ่านไปมามองไม่เห็น หรือก่อให้เกิดอุบัติเหตุซ้ำซ้อนได้
  • เช็คประกันภัยรถยนต์หรือเปิดดูกรมธรรม์ว่าครอบคลุมในเรื่อง “ใช้บริการรถลากหรือรถยก” หรือไม่ เมื่อพบว่าใช้ได้ให้อ่านรายละเอียดอื่น ๆ โดยเฉพาะเงื่อนไขให้ดีก่อน เพื่อที่จะได้เรียกใช้บริการได้อย่างครอบคลุมและคุ้มค่ามากที่สุด

เมื่อรถสตาร์ทไม่ติด แก้ปัญหาเฉพาะหน้าได้ยังไงบ้าง ?

กรณีที่พบเจอปัญหารถสตาร์ทไม่ติด แต่ไม่อยากเรียกใช้บริการรถยกหรือรถลากในทันที รวมถึงมีความรู้เรื่องรถพอสมควร เรามีทริครับมือกับปัญหาเฉพาะหน้ามาให้คร่าว ๆ ดังนี้

  • 1. บิดกุญแจสตาร์ทรถ เพื่อหาสาเหตุที่รถสตาร์ทไม่ติด

    หากบิดกุญแจเพื่อเปิดเครื่องแล้วพบว่ายังมีไฟหน้าปัดแสดงอยู่ แต่เมื่อบิดสตาร์ทรถเครื่องกลับเงียบ ให้เช็กดี ๆ ว่ากำลังเข้าเกียร์อื่นที่ไม่ใช่ P หรือ N หรือไม่ เพราะถ้าเป็นแบบนั้นก็ทำให้สตาร์ทรถไม่ติดได้เช่นกัน เนื่องจากเป็น “กลไกป้องกันไม่ให้รถเกิดอุบัติเหตุ” แต่ถ้าหากเช็กแล้วพบว่าเป็นเกียร์ P หรือ N แต่รถก็ยังสตาร์ทไม่ติด อาจมีสาเหตุมาจากแบตเตอรี่ที่ส่งกำลังไฟไม่พอ

  • 2. พ่วงแบตเตอรี่กับรถคันอื่น

    หากมั่นใจแล้วว่าสาเหตุที่ทำให้สตาร์ทรถไม่ติดเป็นเพราะแบตเตอรี่ แนะนำให้แก้ไขด้วยการพ่วงแบตกับรถคันอื่น ๆ โดยมีทริคพ่วงแบตที่ถูกต้องดังนี้

    • เตรียมสายจั๊มพ์แบต ซึ่งจะมีด้วยกัน 2 เส้น สีแดงคือประจุขั้วบวก ส่วนสีดำ (หรือสีเขียว) คือประจุขั้วลบ
    • ปิดอุปกรณ์ไฟฟ้าของรถทั้ง 2 คันให้หมด เพื่อป้องกันรถเกิดประกายไฟหรือเกิดการระเบิด หลังจากนั้นให้จอดรถหันหน้าเข้าหากัน พร้อมเว้นระยะห่างสักเล็กน้อย
    • ต่อสายพ่วงแบตเตอรี่ ด้วยการนำทั้ง 2 เส้น ต่อกับขั้วที่ถูกต้องของแบตเตอรี่รถยนต์ทั้ง 2 คัน เมื่อต่อสายทั้งหมดได้แล้วให้ทิ้งไว้ประมาณ 1 นาที
    • สตาร์ทรถเพื่อชาร์จแบต เริ่มพ่วงแบตเตอรี่ด้วยการสตาร์ทรถคันที่มาช่วยทิ้งไว้ประมาณ 3-5 นาที จากนั้นค่อย ๆ เร่งเครื่องเป็นช่วง ๆ เพื่อให้เกิดการถ่ายเทประจุไฟฟ้า ตามด้วยสตาร์ทรถคันที่แบตหมด แล้วค่อย ๆ เร่งเครื่องเบา ๆ และปล่อยทิ้งไว้ประมาณ 1-2 นาที แล้วลองสตาร์ทคันที่รถสตาร์ทไม่ติดดู จะสามารถสตาร์ทติดได้ในทันที(กรณีที่ปัญหาอยู่ที่แบตเตอรี่เสื่อม)
    • ถอดสายพ่วงแบตเตอรี่ โดยเริ่มถอดจากขั้วลบของรถคันที่แบตหมดก่อน ตามด้วยขั้วลบของรถคันที่มาช่วย จากนั้นก็ถอดขั้วบวกของรถคันที่มาช่วย ตามด้วยขั้วบวกของรถคันที่แบตหมด
  • 3. ทำความสะอาดขั้วแบต

    อีกหนึ่งประเด็นที่ทำให้รถสตาร์ทไม่ติดคือ “ความสกปรก” ของคราบที่เกลือที่ติดอยู่บนขั้วแบตเตอรี่ หากคุณดูแลรถยนต์ได้ไม่ดี หรือละเลยส่วนนี้ไป ก็อาจทำให้สตาร์ทรถไม่ติดได้เช่นกัน แนะนำให้ใช้น้ำโซดาและแปรงสีฟันค่อย ๆ ขัดออก ทาขั้วแบตเตอรี่ด้วยวาสลีน เพื่อป้องกันไม่ให้มีคราบขี้เกลือขึ้น เพียงเท่านี้ก็ลดสาเหตุที่ทำให้รถยนต์สตาร์ทไม่ติด แต่มีไฟได้ไป 1 อย่างแล้วล่ะ

ต้องยอมรับว่าสาเหตุที่ทำให้รถสตาร์ทไม่ติดมีอยู่ด้วยกันหลายสาเหตุ หลัก ๆ เลยคือการดูแลรถยนต์ได้ไม่ดีพอ ไม่ทำความสะอาดขั้วแบตเตอรี่ ไม่ตรวจเช็คสภาพรถอย่างสม่ำเสมอ แน่นอนว่าทำให้รถยนต์เกิดอาการแปลก ๆ ได้ง่ายมาก นอกจากนี้หากต้องเดินทางไกลบ่อย ๆ แนะนำให้หาความรู้เรื่องรถให้มากที่สุด เพื่อที่จะได้หาสาเหตุและวิธีแก้ปัญหาได้อย่างทันท่วงที

คำจำกัดความ
ไดชาร์จ อุปกรณ์ที่ทำหน้าที่ผลิตกระแสไฟฟ้าให้กับระบบต่าง ๆ ในรถยนต์
ขั้วแบตเตอรี่ ส่วนต่อพ่วงหัวตะกั่วที่ตื่นออกมานอกตัวแบตเตอรี่ เป็นส่วนที่เชื่อมต่อระหว่างภายในและภายนอกของแบตเตอรี่

เปรียบเทียบราคา หรือ ต้องการรายละเอียดเพิ่มเติม เจ้าหน้าที่เราพร้อมให้บริการ

บทความที่น่าสนใจ

เพราะเรารู้ว่าคุณรู้สึกสับสนและมึนหัวเพียงใด ในตอนที่ต้องเลือกผลิตภัณฑ์ที่ใช่