วิธีรับมือเมื่อรถยนต์ไฟฟ้าแบตเตอรี่หมดกลางทาง เจอแบบนี้ต้องรับมืออย่างไร ?

แชร์ต่อ
รถยนต์ไฟฟ้าแบตเตอรี่หมดกลางทาง ต้องรับมืออย่างไร ที่ MrKumka.com

ใช้รถไฟฟ้า รถ EV นอกจากการวางแผนเรื่องแบตเตอรี่ ต้องรู้วิธีรับมือเมื่อรถยนต์ไฟฟ้า เกิด แบตเตอรี่หมดกลางทางประกอบด้วย ยิ่งถ้าหากรถแบตหมดช่วงเวลากลางคืน หรือแบตรถยนต์หมดบนเส้นทางที่ไม่คุ้นเคย ไม่รู้หาสถานีชาร์จได้ที่ไหน ? เชื่อว่ามันจะเพิ่มความกังวลได้เป็นเท่าทวีคูณสำหรับคุณได้เลย

ไปชวนหาคำตอบเมื่อคุณต้องเจอกับปัญหาเหล่านี้ต้องทำยังไง? ประกันชั้น 1 รถไฟฟ้าช่วยได้แค่ไหน ? MrKumka ลิสต์คำตอบมาให้แล้ว คนใช้รถ EV ต้องดูไปทำความเข้าใจพร้อม ๆ กันได้เลย!

รถยนต์ไฟฟ้าแบตเตอรี่เหลือ 0% ยังขับต่อได้ไหม ?

หนึ่งในคำถามที่เจ้าของรถยนต์ไฟฟ้าขนาดเล็กแอบสงสัยอยู่ลึก ๆ ว่า แบตเตอรี่เหลือ 0% ทำให้รถดับเลยไหม? หรือยังสามารถขับต่อไปได้อีกหน่อย ซึ่งถ้าหากอ้างอิงจาก “ผู้ใช้งานจริง” 2 คนแรกใช้รถยนต์ไฟฟ้าแบรนด์ BYD ออกมาบอกต่อ เมื่อแบตรถเหลือ 0% พวกเขาสามารถขับต่อไปได้ประมาณ 2-3 กิโลเมตร แต่เป็นการขับแบบไม่เหยียบคันเร่ง ปล่อยรถไหล

ส่วนอีกคนเป็นยูทูปเบอร์ ที่ขับ Tesla Model X ปี 2022 เขาสามารถขับต่อไปได้ประมาณ 33 กิโลเมตร ทั้งจากพลังงานสำรองที่รถสำรองไว้เลี้ยงแบต และการรีชาร์จผ่านมอเตอร์รถยนต์ขณะไม่ได้เหยียบคันเร่ง แต่ถึงอย่างไร พลังงานแบตส่วนนี้หาได้สำหรับใช้เพื่อขับเคลื่อนตัวรถไม่ แต่เพื่อไว้เลี้ยงแบตเตอรี่ ดังนั้นไม่ควรปล่อยให้แบตฯ หมดจนตัวรถต้องใช้พลังงานตรงนี้จะดีที่สุด และที่สำคัญ! ไม่ใช่ว่าแบตฯ ในรถทุกรุ่นจะมีพลังงานสำรองไว้ให้เมื่อระดับแบตฯ แจ้งว่าเหลือ 0%

แบตรถยนต์หมดเหลือ 0% สามารถวิ่งต่อได้ แต่ไม่ควรทำเพราะอะไร ?

ต้องทำความเข้าใจก่อนว่ารถยนต์ไฟฟ้าขนาดเล็ก รวมถึงขนาดอื่น ๆ ถูกออกแบบให้มี “กำลังไฟสำรอง” ด้วยเหตุผลที่หลากหลาย เช่น ความปลอดภัย การเข้าเกียร์ รวมถึงอายุการใช้งานของรถยนต์ไฟฟ้าที่ต้องถูกชาร์จซ้ำแล้วซ้ำเล่า ซึ่งการปล่อยให้แบตเตอรี่หมด หรือเหลือ 0% โดยไม่มีประจุไฟฟ้าหลงเหลืออยู่เลย อาจทำให้แบตเตอรี่เสื่อมสภาพทันที แม้ว่าจะเป็นแบตเตอรี่ก้อนใหม่ก็ตาม เพราะฉะนั้น “อย่าหาทำ” เด็ดขาด

เมื่อรถไฟฟ้า ev แบตเตอรี่หมดกลางทาง ควรรับมือกับสถานการณ์นี้ยังไง ?

ปฏิเสธไม่ได้เลยว่าเหตุการณ์ไม่คาดฝันที่เกิดบนท้องถนน ไม่ว่าคุณจะใช้รถยนต์ทั่วไป หรือรถยนต์ไฟฟ้าแล้วรถแบตหมด ล้วนสร้างความกังวลใจให้กับเจ้าของรถ หรือผู้ขับขี่อยู่ไม่น้อย ซึ่งถ้าหากคุณต้องพบเจอกับเหตุการณ์แบตรถยนต์หมดควรรับมือยังไง MrKumka เตรียมคำตอบมาให้เรียบร้อยแล้ว

  • 1. ตั้งสติหาวิธีแก้ปัญหา

    ต้องบอกก่อนว่าตามปกติรถยนต์ไฟฟ้าจะมีสัญญาณแจ้งเตือนแบตรถยนต์หมด หรือแบตเตอรี่เหลือน้อยอยู่แล้ว หากคุณได้ยินสัญญาณเตือนสิ่งแรกที่ควรทำคือตั้งสติ อย่าตกใจ พร้อมกับรีบหาที่จอดรถข้างทางที่ปลอดภัยก่อน

  • 2. ตรวจสอบระยะทางที่เหลือ

    หลังจากนำรถยนต์ไฟฟ้าขนาดเล็กเข้าจอดในจุดที่ปลอดภัยแล้ว ให้เช็คที่หน้าปัดรถยนต์ไฟฟ้าสามารถวิ่งต่อได้อีกประมาณกี่กิโลเมตร และในระยะทางดังกล่าวมีสถานีชาร์จไฟหรือไม่ แนะนำให้ดาวน์โหลดแอปพลิเคชัน Evol, Plugshear หรือแอปอื่น ๆ เพื่อสำหรับค้นหาและใช้สถานีชาร์จรถยนต์ไฟฟ้าทันที

  • 3. เปิดโหมดประหยัดพลังงาน

    หลังจากตั้งสติและตรวจสอบระยะทางที่เหลือแล้ว พบว่ามีสถานีชาร์จรถยนต์ไฟฟ้าอยู่ไม่ไกล แนะนำให้เปิดใช้โหมดประหยัดพลังงาน ปิดแอร์ และอุปกรณ์ไฟฟ้าอื่น ๆ ที่ไม่จำเป็น เพื่อยืดเวลาการใช้แบตเตอรี่ให้สามารถประคองไปจนถึงสถานีชาร์จใกล้ฉันได้

  • 4. กรณีแบตเตอรี่หมดจนรถดับไปแล้ว ให้โทรขอความช่วยเหลือ

    กรณีที่หาจุดชาร์จไฟไม่ได้ หรือละเลยสัญญาณเตือนจนแบตเตอรี่หมดเกลี้ยง แนะนำให้โทรขอความช่วยเหลือจากศูนย์บริการ ซึ่งรถยนต์ไฟฟ้า ขนาดเล็กบางรุ่นจะมีปุ่ม Emergency Call สำหรับโทรขอความช่วยเหลือจากรถยก เพื่อพาไปยังสถานีชาร์จที่ใกล้ที่สุด

    หรือในกรณีที่รถยนต์ไฟฟ้าของคุณประกันชั้น 1 รถไฟฟ้าเอาไว้ สามารถโทรแจ้งบริษัทประกันภัยเพื่อขอความช่วยเหลือได้เลย เพราะนอกจากประกันชั้น 1 รถไฟฟ้าราคาจะสูง ให้ความคุ้มครองที่ครอบคลุมแล้ว ยังมีบริการช่วยเหลือฉุกเฉินบนท้องถนน เพื่อคลายความกังวลให้กับคุณตลอด 24 ชั่วโมงอีกด้วย

จะเห็นได้ว่าเมื่อเกิดเหตุการณ์ไม่คาดฝันขึ้น ประกันชั้น 1 รถไฟฟ้ารวมถึงประกันรถยนต์ชั้นอื่น ๆ จะเข้ามามีบทบาทสำคัญมาก ๆ โดยเฉพาะการให้ความช่วยเหลือเมื่อเกิดเหตุไม่คาดฝัน แนะนำให้มองหาประกันชั้น 1 รถไฟฟ้าที่ห้ความคุ้มครองตอบโจทย์ ตรงใจ ด้วยการเช็คราคาประกันรถยนต์ไฟฟ้ากับความคุ้มครองที่ได้รับ โดยเฉพาะการเลือกซื้อประกันกับ MrKumka เพราะที่นี่ยินดีนำเสนอประกันชั้น 1 รถไฟฟ้าราคาสบายกระเป๋า แถมยังสามารถเช็ค/เปรียบเทียบประกันภัยรถไฟฟ้าได้ตลอด 24 ชั่วโมงอีกด้วย

อยากให้แบตรถยนต์ใช้งานได้นาน ๆ ควรดูแลยังไง ?

อยากให้แบตรถยนต์ใช้งานได้นาน ๆ ควรดูแลยังไง ? | MrKumka.com

หนึ่งในประเด็นสำคัญที่คนใช้รถยนต์ไฟฟ้าควรให้ความใส่ใจมาก ๆ คือ “วิธีดูแล/ถนอมแบตเตอรี่” นอกจากไม่ควรปล่อยให้รถแบตหมดเกลี้ยงแล้ว ยังมีทริคในการดูแลอีกมากมาย ดังรายละเอียดต่อไปนี้

  • 1. หลีกเลี่ยงการชาร์จเต็ม 100%

    การชาร์จแบตรถยนต์ไฟฟ้า้าขนาดเล็ก แม้จะทำให้หลาย ๆ คนสบายใจ รู้สึกว่าสามารถขับเคลื่อนรถได้ไกลขึ้น นานขึ้น แต่อาจไม่ใช่ตัวเลือกที่ดีสำหรับเครื่องยนต์ หรือแบตเตอรี่รถยนต์ไฟฟ้าเสมอไป เพราะพฤติกรรมการชาร์จแบบนี้ จะทำให้แบตเสื่อมเร็วขึ้น เนื่องจากมีการ “อัดกระแสไฟฟ้าเข้าไปจนเต็ม” แบตเตอรี่จึงเกิดความเครียดสูง ส่งผลให้อายุการใช้งานลดลงนั่นเอง หากต้องการชาร์จแบบถนอมแบตเตอรี่ ควรชาร์จให้อยู่ที่ 80% และรักษาระดับให้อยู่ที่ 20%-80% เสมอ

  • 2. ไม่ควรปล่อยให้แบตเตอรี่หมด หรือเหลือ 0%

    การปล่อยให้รถแบตหมดหรือเหลือ 0% แล้วค่อยชาร์จบ่อย ๆ จะทำให้แบตเตอรี่รถยนต์ไฟฟ้าขนาดเล็กทำงานหนักจนเกิดความร้อน ความจุโดยรวมจะค่อย ๆ ลดลง ซึ่งเป็นสาเหตุหลักที่ทำให้แบตเตอรี่เสื่อมเร็วกว่าที่ควรจะเป็น ทางที่ดีไม่ควรปล่อยให้แบตเตอรี่เหลือน้อยกว่า 20% ยิ่งการปล่อยให้แบตรถยนต์หมด ยิ่งไม่ควรทำมาก ๆ เลยล่ะ

  • 3. เลี่ยงการจอดตากแดด/กลางแจ้งเป็นเวลานาน

    การจอดรถยนต์ไฟฟ้าตากแดดหรือจอดกลางแจ้งเป็นเวลานาน ไม่ใช่การจอดที่ดีสักเท่าไหร่นัก เนื่องจาก “ระบบจัดการความร้อน” จะทำงานอยู่ตลอด แนะนำว่าไม่ควรจอดตากแดดหรือจอดกลางแจ้ง ไม่ว่าจะเป็นการจอดเฉย ๆ หรือจอดชาร์จแบตเตอรี่ก็ตาม

  • 4. หลีกเลี่ยงการชาร์จเร็ว

    อย่างที่ทราบกันดีว่าการชาร์จแบตรถยนต์ไฟฟ้าาใช้เวลาค่อนข้างนาน หลายคนจึงเลือกการชาร์จเร็ว เนื่องจากใช้เวลาเพียงแค่ไม่กี่นาที แต่การทำแบบนี้บ่อย ๆ หรือชาร์จเร็วแทบทุกครั้ง ยิ่งเป็นการทำให้แบตเตอรี่เสื่อมสภาพเร็วขึ้น

    เนื่องจากระบบระบายความร้อนของแบตเตอรี่ทำงานหนัก มีความร้อนสะสม แนะนำให้ชาร์จเร็วเฉพาะเหตุการณ์ฉุกเฉิน หรือเวลาที่ต้องเดินทางไกลเท่านั้น หากเป็นการชาร์จเพื่อใช้รถในชีวิตประจำวัน แนะนำให้ชาร์จแบบไฟฟ้ากระแสสลับ(AC) จะดีกว่า

  • 5. หลังชาร์จเสร็จ ห้ามเสียบปลั๊กทิ้งไว้

    แม้ว่ารถยนต์แทบทุกรุ่นจะมีวงจรตัดไฟฟ้าเพื่อป้องกันการชาร์จเกิน แต่ก็ไม่ควรเสียบปลั๊กทิ้งไว้เด็ดขาด เพราะจะทำให้อายุแบตเตอรี่สั้นลง หากชาร์จจนถึง 80% หรือ 90% แนะนำให้ถอดปลั๊กสายชาร์จออกทันที

SOC ของแบตเตอรี่ คืออะไร ?

SOC ย่อมาจากคำว่า State of Charge คือ “อัตราส่วนของความจุที่เหลืออยู่ ต่อความจุที่แบตเตอรี่ที่จะเก็บได้” หรือพูดง่าย ๆ ว่าเลขเปอร์เซ็นต์ที่แสดงให้คุณเห็น หากแสดงให้เห็น 100% หมายความว่าแบตเตอรี่อยู่ในสถานะชาร์จเต็มเรียบร้อยแล้ว แต่ถ้าแสดงให้เห็น 0% หมายความว่าแบตเตอรี่หมด ถูกใช้จนเกลี้ยง

การทำความเข้าใจคร่าว ๆ ว่า SOC แบตเตอรี่รถยนต์ไฟฟ้าคืออะไร ถือว่ามีความสำคัญมาก ๆ เพราะนอกจากจะช่วยให้ผู้ขับขี่ทราบระดับพลังงานที่เหลือในแบตเตอรี่แล้ว ยังช่วยวางแผนการใช้งานที่เหมาะสมได้อีกด้วย เช่น การวางแผนหาสถานีชาร์จที่เหมาะสมเมื่อต้องเดินทางไกล นอกจากจะช่วยให้การเดินทางราบรื่นแล้ว ยังช่วยถนอมอายุของแบตได้ดีมาก ๆ อีกด้วย

ต้องยอมรับว่ารถยนต์ไฟฟ้ามีประเด็นที่ต้องใส่ใจเป็นพิเศษ โดยเฉพาะ “แบตเตอรี่รถยนต์ไฟฟ้าขนาดเล็ก” ชาร์จเต็มก็ไม่ดี ปล่อยให้แบตเตอรี่หมดก็มีปัญหาตามมาในอนาคต นอกจากนี้ยังมีเรื่องของประกันชั้น 1 รถไฟฟ้า ที่ต้องให้ความสำคัญด้วยเช่นกัน แม้จะมีราคาค่อนข้างแพงแต่การให้ความสำคัญประกันภัยรถไฟฟ้า ราคาย่อมเยามากเกินไป อาจไม่ใช่ตัวเลือกที่ตอบโจทย์ แนะนำให้ดูในเรื่องของ “ความคุ้มครอง” ด้านต่าง ๆ รวมถึงการให้ความช่วยเหลือเมื่อแบตรถยนต์หมดด้วย

คำจำกัดความ
ปล่อยรถไหล การปล่อยคันเร่งให้รถไหลไปตามแรงเฉื่อย
หน้าปัดรถยนต์ แผงแจ้งเตือนสัญญาณต่าง ๆ ที่ช่วยเตือน ให้ผู้ขับขี่ รับรู้ถึงความผิดปกติของเครื่องยนต์ ในระบบต่างๆ ว่าส่วนไหนกำลังเกิดปัญหาอะไร เพื่อให้เจ้าของรถสามารถตรวจสอบและแก้ไข ความผิดปกติเหล่านั้น ได้อย่าง ทันท่วงที

เปรียบเทียบราคา หรือ ต้องการรายละเอียดเพิ่มเติม เจ้าหน้าที่เราพร้อมให้บริการ

บทความที่น่าสนใจ

เพราะเรารู้ว่าคุณรู้สึกสับสนและมึนหัวเพียงใด ในตอนที่ต้องเลือกผลิตภัณฑ์ที่ใช่