หัวข้อที่น่าสนใจ
เมื่อยางรถยนต์เป็นส่วนประกอบสำคัญของรถทุกคัน และเป็นอีกชิ้นส่วนที่ต้องมีการ “เปลี่ยน” ตามระยะการใช้งาน การเปลี่ยนยางรถยนต์เมื่อถึงเวลา แน่นอนว่า “เวลา” ในที่นี้ ไม่ใช่แค่ตอนที่ยางรั่ว ยางแตก แต่ยังหมายถึงการเสื่อมสภาพ “วันหมดอายุ” ของตัวยางด้วย ถ้าไม่รู้ว่าจะต้องดูยางรถหมดอายุยังไง ? มิสเตอร์ คุ้มค่า รวมคำตอบและประเด็นที่เกี่ยวข้องมาให้แล้ว ไปทำความเข้าใจกันเลย
ยางรถยนต์มีกี่ประเภท อะไรบ้าง ?
เปิดประเด็นด้วย “ประเภทยางรถยนต์” ที่หลาย ๆ คนอาจไม่รู้มาก่อน ว่ามันมีให้เลือกใช้หลากหลายประเภท หลากหลายราคายางรถยนต์ แถมยังเลือกได้ตามใจชอบ ไม่ต้องใช้ล้อเดิมที่มากับรถก็ได้ ซึ่งจะมีประเภทอะไรบ้าง ตามไปทำความรู้จักกันก่อนดีกว่า
1. ยางประหยัดน้ำมัน
เป็นยางที่มีความสมดุล ไม่แข็งกระด้างและไม่นุ่มจนเกินไป ที่สำคัญเสียงไม่ดังเท่ายางสปอร์ต ดอกยางค่อนข้างละเอียด ยางประเภทนี้ถูกออกแบบมาเพื่อ “ลดแรงต้านการหมุน” ซึ่งเป็นหนึ่งในปัจจัยที่ทำให้รถยนต์ใช้พลังงานเยอะ (กินน้ำมัน)
ยางประหยัดน้ำมันเหมาะสำหรับ Eco Car ที่ใช้งานในชีวิตประจำวันทั่วไป เช่น ขับรถด้วยความเร็วปกติ ใช้แรงในการออกตัวไม่เยอะ หรือคนที่ใช้รถยนต์เป็นประจำทุกวัน นอกจากจะช่วยให้ประหยัดน้ำมันได้แล้ว ยังมีประสิทธิภาพในการยึดเกาะถนนที่ดีมาก ๆ ด้วย
2. ยางนุ่มเงียบ
ยางนุ่มเงียบมีดอกยางที่ละเอียดเช่นเดียวกัน ทั้งนี้เพื่อมอบความนุ่มนวลระหว่างขับขี่ และให้ความเงียบสงบที่มากกว่า เพราะช่วยลดแรงสั่นสะเทือน หรือเสียงรบกวนได้เป็นอย่างดี เรียกได้ว่าช่วยเพิ่มสมาธิในการขับขี่ได้ดีมาก ๆ โดยยางประเภทนี้เหมาะสำหรับรถเก๋งขนาดเล็ก ไปจนถึงรถเก๋งขนาดใหญ่ที่ใช้งานทั่วไป เช่น การขับขี่ในเมืองที่ไม่ต้องใช้ความเร็วสูง
3. ยางสปอร์ต
ยางสปอร์ตถูกออกแบบให้มีความสวยงาม ทันสมัย แถมดอกยางก็ยังเป็นเอกลักษณ์ แตกต่างกันไปในแต่ละรุ่น นอกจากนี้ยังถูกดีไซน์ให้ทนทานต่อการใช้งานหนัก และทนต่อความร้อนสูง เหมาะสำหรับการขับขี่ที่ต้องการความเร็ว และการควบคุมที่แม่นยำ
ที่สำคัญมีการออกแบบดอกยางและโครงสร้าง ที่ช่วยเพิ่มการยึดเกาะถนนทั้งสภาพเปียกและแห้งได้อย่างมีประสิทธิภาพ เหมาะกับการใช้งานรถยนต์ด้วยความเร็วสูงบนพื้นเรียบ หรือการแข่งขันกีฬา
4. ยางรถบรรทุก
ยางรถบรรทุกมีหน้ายางค่อนข้างกว้าง ร่องดอกยางพิเศษ และแก้มยางสูงกว่าประเภทอื่น โดยถูกออกแบบให้มีโครงสร้างที่แข็งแรง รองรับน้ำหนักได้ดี แถมยังทนทานต่อการใช้งานหนัก ช่วยกระจายน้ำหนักขณะขับขี่ได้อย่างมีประสิทธิภาพ
เหมาะสำหรับรถบรรทุกไปจนถึงรถ PPV หรือรถโครงกระบะยกสูง และรถ SUV หรือรถโครงกระบะต่ำ เนื่องจากช่วยเกาะถนนเวลาเข้าโค้งได้ดี แถมยังทนทานต่อการสึกหรอ ทำให้ใช้งานได้ยาวนาน
เปลี่ยนยางรถยนต์ตอนไหนดีที่สุด ?
ขอย้ำอีกครั้งว่าการเปลี่ยนยางรถยนต์ ใช่ว่าจะทำเฉพาะในตอนที่ยางรั่ว ยางแบน หรือยางแตก จนซ่อมแซมให้กลับไปใช้งานไม่ได้เท่านั้น แต่ยังมี “ปัจจัย” อื่น ๆ ที่ควรพิจารณาควบคู่กันด้วย โดยหลัก ๆ มีอยู่ด้วยกัน 2 ปัจจัย ดังนี้
1. เช็คอายุการใช้งานยาง
ตามปกติแล้วยางรถยนต์สามารถใช้งานได้ประมาณ 2-5 ปี หรือประมาณ 30,000-40,000 กิโลเมตร (ขึ้นอยู่กับสภาพการใช้งานของแต่ละคนด้วย) วิธีเช็คยางรถแบบนี้ เหมาะสำหรับรถยนต์ที่ไม่ได้ใช้งานหนัก ขับขี่ระยะสั้น ๆ และขับขี่บนสภาพถนนที่ค่อนข้างดี
ทั้งนี้จากปัจจัยต่าง ๆ ข้างต้น รวมถึงพฤติกรรมการขับขี่ที่แตกต่าง ก็ส่งผลต่อสภาพยางที่ต่างกันด้วย ปกติแล้วผู้ผลิตส่วนใหญ่แนะนำให้เปลี่ยนยางรถยนต์ทุก ๆ 2 ปี หรือ 50,000 กิโลเมตร นับตั้งแต่วันที่ผลิตยาง
2. เช็คสภาพยาง
ยางรถยนต์เป็นส่วนประกอบที่สำคัญ สัมผัสกับผิวถนนอยู่ตลอด ดังนั้นจึงมีโอกาสเกิดความเสียหายหรือสึกหรอได้ง่ายกว่าชิ้นส่วนอื่น ๆ แต่จะรู้ได้ยังไงว่ายางเสื่อม ตามไปดูยางรถยนต์ที่เสื่อมสภาพกันเลย
- ตามปกติแล้วหน้ายางจะมีร่องรีดน้ำ และมีเส้นขวางอยู่ตรงกลาง ส่วนนี้เรียกว่า “สะพานยาง” หากดอกยางสึกจนถึงขอบเส้นสะพานยาง จะทำให้การยึดเกาะถนนไม่ดี และอาจเกิดอันตรายระหว่างเลี้ยวได้
- แนะนำให้สังเกตบริเวณไหล่ทั้งสองข้าง ซึ่งปกติแล้วจะสึกเสมอกัน แต่ถ้าไม่เสมอหรือไม่เท่ากัน หมายความว่า “ลมยางอ่อน” หรือช่วงล่างรถยนต์หลวมหรือแตก นอกจากจะต้องเปลี่ยนยางรถยนต์ใหม่แล้ว ยังต้องซ่อมช่วงล่างร่วมด้วย
- บริเวณ “แก้มยาง” เป็นส่วนที่นิ่มที่สุด และเกิดความเสียหายได้ง่ายมาก ๆ เช่น มีรอยบดหรือรอยเบียดเป็นเส้นรอบวง หรือบวมปูด ซึ่งอาจเกิดอันตรายช่วงยางรับน้ำหนักอย่างรุนแรง จำเป็นต้องเปลี่ยนยางในทันที
วิธีดูยางรถยนต์หมดอายุ ไม่รู้เรื่องยางก็เช็คได้
อีกหนึ่งประเด็นที่ควรให้ความสำคัญมาก ๆ คือ การเช็คยางรถยนต์ หมดอายุ เพื่อความปลอดภัยในการใช้รถใช้ถนน แต่จะต้องเช็คจากตรงไหน โดยเฉพาะ “ดูยางรถยนต์จากปีที่ผลิต” ตามไปดูวันหมดอายุยางรถพร้อม ๆ กันเลย
ตามมาตรฐานของ DOT (Department of Transportation) ระบุไว้ว่าให้มีการแสดงปียางการผลิตของรถยนต์นั้น ๆ ไว้ที่ “แก้มยาง” ดังนี้
- อันดับแรกให้สังเกตตัวเลข 4 หลัก ในกรอบวงรีบนแก้มยางด้านนอก โดยจะดูทิศทางตามเข็มนาฬิกา ซึ่งรหัสดังกล่าวบ่งบอกถึงสัปดาห์และปีที่ผลิต
- ตัวเลขสองหลักแรก หมายถึงสัปดาห์ที่ผลิต
- ตัวเลขสองหลักหลัง หมายถึงปีที่ผลิต โดยจะระบุเป็นปีคริสต์ศักราช (ค.ศ.)
ยกตัวอย่าง: หากตัวเลขยางรถยนต์ หมดอายุบนแก้มยางระบุว่า “1224” หมายความดังนี้
- 12 หมายถึง สัปดาห์ที่ 12 ของปีที่ผลิต
- 24 หมายถึง ปี ค.ศ.2024
ประโยชน์ของการดูวันหมดอายุยางรถ มีอะไรบ้าง ?
หลายคนมองว่าการตรวจเช็คสภาพรถ โดยเฉพาะในส่วนของการดูยางรถหมดอายุไม่จำเป็น แค่เปลี่ยนตามระยะที่กำหนดก็เพียงพอแล้ว แต่ในความเป็นจริงนั้น การเช็คยางรถยนต์จากวันหมดอายุมีประโยชน์มากกว่าที่คิด ดังนี้
ตรวจสอบภาพยาง
อย่างที่บอกไปแล้วว่ายางรถยนต์มีอายุการใช้งานค่อนข้างจำกัด โดยทั่วไปจะมีอายุประมาณ 4-5 ปี แม้จะวิ่งไม่ถึงระยะที่กำหนด (40,000-50,000 กิโลเมตร) การดูยางรถยนต์ หมดอายุจากปีที่ผลิต จะช่วยให้ทรายอายุการใช้งานยาง เพื่อประกอบการตัดสินใจก่อนซื้อได้
เปรียบเทียบราคา
ต้องทำความเข้าใจก่อนว่าราคายางรถยนต์มีความแตกต่างกัน แม้จะเป็นรุ่นเดียวกันราคาก็ไม่เท่านั้น เพราะมันขึ้นอยู่กับปีผลิต ร้านยางรถยนต์บางร้านจะกำหนดไว้เลยว่า “ยางปีเก่ามีราคาถูกกว่า” ซึ่งถือเป็นเรื่องดีที่ช่วยให้คุณประหยัดเงินได้ แต่แนะนำว่าควรตรวจสอบสภาพอื่น ๆ ให้ดีก่อน
เลือกยางที่เหมาะสม
การดูปีผลิตจะช่วยให้คุณเลือกยางรถยนต์ได้อย่างเหมาะสม เช่น ยางใหม่เหมาะกับการขับขี่ระยะยาว ยางเก่าอาจเหมาะกับการใช้งานระยะสั้น เป็นต้น
ตรวจสอบความปลอดภัย
ยางเก่าที่ใช้อยู่อาจเกิดการเสื่อมสภาพ สึกหรอ ส่งผลต่อประสิทธิภาพในการยึดเกาะถนน การดูปีผลิตก่อนตัดสินใจเปลี่ยนยางรถยนต์ ก็จะช่วยให้การใช้รถใช้ถนนมีความปลอดภัยมากขึ้น
ช่วงวางแผนการเปลี่ยนยางรถยนต์
การตรวจสอบยางรถยนต์ หมดอายุจะช่วยให้คุณวางแผนการเปลี่ยนยางได้ล่วงหน้า แถมยังมีเวลาเตรียมงบประมาณสำหรับเลือกยางที่เหมาะสมได้ดีสุด ๆ
ฝืนใช้ยางเสื่อมสภาพ เสี่ยงแค่ไหน ?
หากคุณชะล่าใจมองว่ายางรถยนต์เสื่อมสภาพ หรือหมดอายุไม่ใช่เรื่องใหญ่ ตราบใดที่มันยังพาคุณไปไหนมาไหนได้อยู่ ก็ไม่มีความจำเป็นต้องเปลี่ยนเดี๋ยวนั้น ตอนนั้น แต่คุณรู้มั้ยว่า “หายนะ” กำลังคืบคลานเข้ามาเรื่อย ๆ ถ้ายังมองภาพไม่ออกก็ตามไปดู “อันตราย” ที่กำลังจะเกิดขึ้นจากการไม่เปลี่ยนยางรถยนต์กันเลย
1. เบรคไม่อยู่
หากไม่เปลี่ยนยางรถยนต์อาการแรกที่สัมผัสได้ คือ “เบรคไม่อยู่ หรือระยะเบรคยาวขึ้น” นอกจากจะสร้างความหวาดเสียวให้กับผู้ขับขี่แล้ว ยังส่งผลต่อการเข้าโค้งและการยึดเกาะถนนอีกด้วย หากผู้ขับขี่ไม่ระมัดระวัง อาจทำให้รถไถลและเกิดอุบัติเหตุได้ง่ายขึ้น
2. เกิดอุบัติเหตุได้ง่าย
หากยางรถยนต์ของคุณเสื่อมสภาพ หรือยางรถยนต์ หมดอายุในช่วงหน้าฝนพอดี บอกเลยว่างานหยาบสุด ๆ เพราะการขับขี่รถยนต์ที่สภาพยางเสื่อม ดอกยางลึกจนโล้น จะทำให้การควบคุมรถเป็นไปด้วยความยากลำบาก เสี่ยงต่อการเกิดอุบัติเหตุมาก ๆ
3. ยางระเบิด
จริง ๆ แล้วการที่ยางระเบิดไม่ได้เกิดจากการใช้งานรถยนต์ที่เสื่อมสภาพ หรือหมดอายุเท่าน้ัน แต่ยังมีปัจจัยอื่น ๆ ร่วมด้วย ดังนี้
- ยางรถยนต์หมดอายุ
- ตกหลุมบ่อ
- ตกหลุมบ่อ
- ลมยางอ่อน
- บรรทุกเกินน้ำหนักที่บรรทุกได้
- ใช้ความเร็วมากเกินไป
แม้ยางรถยนต์หมดอายุจะไม่ใช่ปัจจัยหลัก เป็นเพียงปัจจัยร่วมที่อาจทำให้เกิดยางระเบิด แต่จะดีหว่าหรือไม่ หากคุณสามารถกำจัดความเสี่ยงข้อใดข้อหนึ่งออกไปได้ เพราะฉะนั้นเมื่อถึงเวลาเปลี่ยนก็ควรเปลี่ยน ดีกว่ามานั่งปวดหัวกับปัญหา และค่าใช้จ่ายที่อาจเกิดขึ้นตามมาในภายหลัง
ไม่ว่าคุณจะดูแลหรือใช้งานยางรถยนต์ดีแค่ไหน แต่เมื่อถึงเวลาก็ควรเปลี่ยนยางรถยนต์ เพื่อความปลอดภัยของผู้ขับขี่ และผู้โดยสาร แนะนำให้ตรวจสอบจากวิธีเช็คยางรถที่เรานำมาบอกต่อ เพื่อให้คุณวางแผนต่าง ๆ เช่นการเลือกประเภทยาง การเลือกจากปียาง หรืออื่น ๆ ได้อย่างมีประสิทธิภาพ จำไว้ว่า “เตรียมค่าเปลี่ยนยางรถดีกว่าค่าซ่อมรถ” เป็นไหน ๆ
คำจำกัดความ
ดอกยาง | ส่วนของหน้ายางที่สัมผัสกับพื้นผิวถนน |
สึกหรอ | กร่อนไป |
สะพานยาง | จุดในร่องบนหน้ายาง ที่ใช้เป็นตัวบอกความสึกหรอของดอกยาง |
คืบคลาน | เคลื่อนอย่างช้า ๆ |