สำหรับคนที่รักรถ นิยมการดูแลรถยนต์เป็นพิเศษ ใช่เพียงแค่ขับอย่างเดียวแต่รถต้องดูดีอยู่ตลอดด้วย มักจะเกิดคำถามเล็ก ๆ ว่าควรล้างรถบ่อยแค่ไหน เพราะการล้างรถนั้นถือเป็นวิธีการดูแลรถที่ง่ายที่สุดและสามารถทำได้ด้วยตัวเอง แต่น้อยคนนักที่จะรู้ว่าควรล้างบ่อยแค่ไหน จำเป็นต้องล้างทุกวันหรือไม่? และการล้างรถบ่อย ๆ ก่อให้เกิดความเสียหายอะไรได้บ้าง? หากคุณกำลังหาคำตอบเหล่านี้อยู่ล่ะก็ MrKumka ได้รวบรวมคำตอบเด็ด ๆ มาให้คุณทำความเข้าใจเพิ่มเติมแล้ว ไปติดตามพร้อม ๆ กันได้เลย!
ล้างรถบ่อยแค่ไหน? หรือควรทำเดือนละกี่ครั้ง?
หากถามว่าการดูแลรถยนต์อย่างการล้างรถนั้น ควรทำบ่อยแค่ไหน? ในความเป็นจริงแล้วไม่ได้มีกฎเกณฑ์กำหนดตายตัวอะไร ว่าจะต้องล้างกี่วัน กี่สัปดาห์ หรือกี่ครั้งต่อเดือน หากคุณเป็นคนที่รักรถ ไม่ชอบให้รถสกปรก หรือมีสิ่งอื่น ๆ ติดอยู่บนตัวรถ ก็สามารถล้างได้ทุกวันตามต้องการ หรือจะล้างนาน ๆ ครั้งก็ได้ เอาที่คุณสะดวกได้เลย
แต่ถ้าจะพูดกันตามตรงสำหรับ “ความถี่” หรือจำนวนครั้งในการทำความสะอาดรถยนต์คู่ใจ ก็จำเป็นจะต้องดูองค์ประกอบอื่น ๆ ร่วมด้วยเช่นกัน อาทิ ใช้รถยนต์มากน้อยแค่ไหน? หากใช้ทุกวันก็ควรจะล้างรถ “อย่างน้อย” สัปดาห์ละ 1 ครั้ง แต่ถ้าไม่ค่อยได้ใช้งานรถสักเท่าไหร่ อย่างน้อยล้างรถเดือนละ 2 ครั้งก็ยังดี
ขับรถลุยฝน ยังจำเป็นต้องล้างรถหรือไม่ ?
หลายคนที่ต้องขับรถยนต์ในช่วงเวลาที่ฝนตก มักมีความคิดว่า “ดีจังเลย ไม่ต้องล้างรถ” ซึ่งในความเป็นจริงแล้ว การขับรถหน้าฝนจะทำให้รถเปียกคล้ายกับการล้างรถก็จริง แต่ถ้าคุณปล่อยให้แห้งเองไปซะเฉย ๆ ก็อาจจะไม่ใช่วิธีการที่ถูกต้องสักเท่าไหร่นัก หลายคนจึงเลือกที่จะ ดูแลรถยนต์ หลังจากขับรถลุยฝน ด้วยการนำผ้าไปเช็ดน้ำฝน ซึ่งก็ไม่ใช่วิธีที่ถูกต้องแต่อย่างใด เพราะบนพื้นผิวของรถมีเศษฝุ่นผงต่าง ๆ ที่มองไม่เห็น การใช้ผ้าเช็ดในทันที อาจทำให้เกิดรอยขนแมวบนสีรถได้ยังไงล่ะ
ทางที่ดีที่สุดหลังจากคุณขับรถลุยฝน ให้ทำการใช้น้ำสะอาดฉีดล้างรถให้ทั่ว แล้วค่อยใช้ผ้าสะอาดเช็ดให้รอบตัวรถ หรือหากมีเวลาก็แนะนำให้ล้างรถไปเลยจะดีกว่า เพราะฝนที่ตกลงมานั้น ไม่ได้เป็นน้ำที่ใสสะอาดแต่อย่างใด โดยเฉพาะในเมืองใหญ่ที่มีมลภาวะในอากาศค่อนข้างมาก อาจก่อให้เกิดความเสียหายตามมาในภายหลังได้ยังไงล่ะ
ใช้น้ำเปล่าล้างรถเฉย ๆ ได้หรือเปล่า ?
ถือเป็นอีกหนึ่งคำถามยอดฮิต ว่าใช้ “น้ำเปล่า” ล้างรถเพียงอย่างเดียวได้หรือไม่ ? ซึ่งในความเป็นจริงแล้วควรต้องพิจารณาจากความสกปรกที่เกิดขึ้น หากพบว่าเป็นเพียงแค่ฝุ่นหรือคราบที่เช็ดออกได้ง่าย ก็สามารถใช้น้ำเปล่าเพียงอย่างเดียวได้เลย พร้อมด้วยใช้ผ้าสะอาดหรือฟองน้ำลูบตาม
แต่ถ้าหากคราบที่ติดอยู่บนรถ เป็นคราบที่เช็ดออกได้ยาก เช่น คราบโคลน ยางไม้ ขี้นก หรือคราบฝังแน่นอื่น ๆ การใช้น้ำเปล่าเพียงอย่างเดียว อาจจะไม่เพียงพอต่อการทำความสะอาดเท่าไหร่นัก ดังนั้นการใช้ “น้ำยาล้างรถ” อาจช่วยให้ขจัดคราบได้ดีกว่า แถมไม่ต้องใช้แรงเยอะแต่อย่างใด ที่สำคัญ ! ไม่เป็นอันตรายต่อสีรถยนต์อีกด้วย
ใช้น้ำยาล้างจาน แชมพู หรือสบู่ล้างรถได้ไหม ?
หลายคนกังวลว่าการใช้สารทำความสะอาดอื่น ๆ เช่น น้ำยาล้างจาน แชมพู หรือสบู่ จะเป็นอันตรายกับสีของรถยนต์ แต่จริง ๆ แล้วสิ่งเหล่านี้สามารถทำความสะอาดรถยนต์คู่ใจของคุณได้! แต่ควรจะเป็นครั้งคราวหรือในยามจำเป็นเท่านั้น เนื่องจากไม่ได้ถูกผลิตมาเพื่อทำความสะอาดรถยนต์โดยเฉพาะ ส่วนผสมบางตัวอาจส่งผลต่อสีรถหรือทิ้งสารตกค้างให้เกาะติดอยู่บนรถหลังล้างเสร็จได้ ทางที่ดีเลือกใช้ผลิตภัณฑ์สำหรับดูแลสีรถโดยเฉพาะจะดีที่สุด
ข้อควรระวังของการล้างรถ หากไม่อยากเสียใจภายหลัง!
แม้ว่าการล้างรถบ่อยจะไม่ส่งผลเสียต่อสีรถ หรือส่วนอื่น ๆ ของรถก็จริง แต่คุณรู้ไหมว่า? ยังมี “ข้อควรระวัง” ของการล้างรถ ที่คุณควรทำความเข้าใจเพิ่มเติม หากไม่อยากเสียใจในภายหลังด้วย ซึ่งข้อควรระวังดังกล่าว ก็มีดังนี้
- หลีกเลี่ยงการล้างรถยนต์ของคุณกลางแดดที่ร้อนจัด
- หลังจากล้างรถเสร็จ ควรเช็ดรถทันที อย่าปล่อยให้รถแห้งเองเด็ดขาด
- หากไม่จำเป็นแนะนำให้หลีกเลี่ยงการใช้น้ำยาล้างจาน ผงซักฟอก หรือสารทำความสะอาดอื่น ๆ แทนน้ำยาล้างรถ
- ไม่แนะนำให้ใช้ผ้าสกปรกเช็ดทำความสะอาดตัวรถ เพราะอาจทำให้เกิดรอยขนแมวได้
บอกตรงนี้เลยว่าการล้างรถเองที่บ้าน ไม่ใช่เรื่องยากอย่างที่คิด เพียงแค่คุณเตรียมอุปกรณ์ให้พร้อม และทำความเข้าใจรายละเอียดต่าง ๆ รวมถึงข้อควรระวังให้ดี ก็สามารถล้างรถเองได้ง่าย ๆ แบบไม่ต้องพึ่งคาร์แคร์เลยล่ะ
ควรล้างรถบ่อยหรือไม่บ่อย ถือเป็นคำถามที่ไม่มีคำตอบที่ตายตัว ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับความสะดวกของเจ้าของรถแต่ละคน หากต้องการให้รถยนต์ของตัวเองสะอาด การล้างบ่อยก็ถือเป็นคำตอบที่ดีที่สุด แถมการล้างรถบ่อย ๆ ยังไม่เป็นการทำลายหรือมีผลเสียต่อสีรถอีกด้วย เนื่องจากสีของรถถูกเคลือบด้วย “สารเคลือบเงารถ” การล้างรถจึงเปรียบเหมือนตัวช่วยถนอมสีรถอีกชั้นหนึ่งยังไงล่ะ!
นอกจากการดูแลรถยนต์ที่ดี การทำประกันรถยนต์ก็สำคัญอย่างยิ่ง หากคุณไม่อยากแบกรับค่าใช้จ่ายที่ยากเกินจะควบคุม MrKumka ช่วยคุณได้ เพียง “เปรียบเทียบประกันรถยนต์ออนไลน์” บนเว็บไซต์แล้วเลือกซื้อกรมธรรม์ที่โดนใจ แค่นี้ก็เดินทางได้อย่างอุ่นใจแล้ว !