เลือกซื้อรถยนต์ ยังไงให้ตรงกับความต้องการของคุณมากที่สุด

1. ประเมินความต้องการของตัวเอง

ก่อนตัดสินใจเลือกซื้อรถยนต์สักคัน ต้องเริ่มจากประเมินความต้องการของตัวเองก่อน ว่ารถยนต์ที่กำลังจะซื้อในอีกไม่กี่อึดใจข้างหน้า มีประโยชน์ต่อการใช้งานอย่างไร? บางคนเลือกรถ SUV เพื่อความสะดวกสบาย และรองรับจำนวนสมาชิกในครอบครัว บางคนซื้อรถขนาดเล็ก เพื่อใช้งานในระยะทางใกล้ๆ ไปดูกันดีกว่าว่ารถแบบไหนจะเหมาะกับ “ความต้องการ” ของคุณมากที่สุด

• รถยนต์นั่งขนาดเล็ก (Compact Car)

  ส่วนใหญ่จะมีขนาดความยาวตัวถังอยู่ที่ 4.40-4.75 เมตร ความกว้างไม่เกิน 8 เมตร และใช้เครื่องยนต์ขนาด 1.50-2.00 ลิตร เหมาะสำหรับครอบครัวขนาดเล็ก หรือเหมาะกับคนที่ใช้ชีวิตอยู่ในเมือง หากต้องการขับไปต่างจังหวัดแบบไม่ลุยมากจนเกินไป ถือว่าตอบโจทย์ได้ค่อนข้างมาก

• รถยนต์นั่งขนาดกลาง (Mid-Size Car)

  เป็นรถยนต์ที่อัปเกรดมาจากรถยนต์นั่งขนาดเล็ก (Compact Car) ไม่ว่าจะในเรื่องของขนาด สมรรถนะ หรือสิ่งอำนวยความสะดวกต่างๆ ภายในห้องโดยสาร สามารถรองรับผู้โดยสาร (ผู้ใหญ่) ได้ 5 คน แบบไม่เบียดเสียด ส่วนใหญ่จะใช้เครื่องยนต์ขนาด 2.0-3.5 ลิตร ตอบโจทย์ในการเป็นรถครอบครัวได้เป็นอย่างดี

• รถยนต์อเนกประสงค์สมรรถนะสูง (SUV)

  เป็นรถยนต์ที่มีขนาดใหญ่ มาพร้อมกับสมรรถนะที่สูงกว่ารถประเภทอื่นๆ จะขับในเมืองหรือขับออกต่างจังหวัด ระยะทางไกลๆ ก็ไม่ใช่ปัญหา แถมยังช่วยให้คุณได้รับความสะดวกสบายมากขึ้น ด้วยห้องโดยสารที่กว้างขวาง จัดสรรพื้นที่ต่างๆ ได้ตามต้องการ และถ้าอยากขับในที่ที่มีความวิบากตัวรถยังสามารถมอบความเพลิดเพลินในคุณทุกการขับขี่

• รถกระบะ

  รถกระบะคืออีกหนึ่งประเภทที่ได้รับความนิยมมากๆ เนื่องจากมีจุดเด่นในเรื่องของ “พื้นที่เก็บสัมภาระขนาดใหญ่” ในปัจจุบันมีเบาะที่นั่งตั้งแต่ 2 ไปจนถึง 5 ที่นั่ง นอกจากนี้ในส่วนของ “ช่วงล่าง” ยังสามารถรองรับน้ำหนักได้เป็นอย่างดี แม้จะเจอเส้นทางวิบาก ลุยได้เลยไม่ต้องกังวล

• รถตู้

  หากคุณต้องการใช้รถเพื่อรับส่งคนเป็นจำนวนมาก การเลือกซื้อรถตู้ถือว่าตอบโจทย์การใช้งานได้อย่างเต็มประสิทธิภาพ แต่อาจจะไม่ได้รับความสะดวกสบาย เมื่อเทียบกับรถ SUV แต่ถ้าคุณไม่ซีเรียส เน้นเบาะที่นั่งเยอะๆ หรือใช้สำหรับเป็นรถประจำทาง ก็จัดเลย !

2. คำนวณงบประมาณ

หลังจากที่เลือกได้แล้วว่ารถยนต์ประเภทไหนเหมาะสำหรับคุณ ลำดับต่อไป จะดูในเรื่องของ “งบประมาณ” ต่อเลย ไม่ว่าจะเป็นงบประมาณในส่วนเงินดาวน์ เงินผ่านจ่ายค่างวด หรือเงินจ่ายสด คุณควรประเมินรายได้ของคุณในแต่ละเดือนให้ดี โดยเฉพาะคนที่ต้องการผ่อนรถ เลือกซื้อแบบผ่อนชำระ เมื่อหักค่าใช้จ่ายต่างๆ ออกไปแล้ว เหลือพอที่จะส่งค่างวดหรือไม่

นอกจากนี้ยังต้องคำนวณงบในด้านการซ่อมแซมดูแล การตรวจเช็กต่างๆ ประจำปี ค่าน้ำมัน ค่าใช้จ่ายอื่นๆ ที่เกี่ยวข้อง รวมถึงค่าเบี้ยประกันภัยด้วย ควรคิดเผื่อเอาไว้ตั้งแต่วินาทีแรกที่ต้องการจะซื้อรถ เนื่องจากจะได้เตรียม “เงินสำรอง” เอาไว้ตั้งแต่เนิ่นๆ เพราะถ้าหากติดขัดขึ้นมาแล้วต้องถูกยึดรถ บอกเลยว่ามีค่าใช้จ่ายที่ตามมาอีกมากเลยล่ะ

3. ทดลองขับก่อนตัดสินใจ

หลังจากที่เลือกประเภทรถยนต์ที่ตอบโจทย์การใช้งาน และเตรียมเงินสำรองต่างๆ เป็นอย่างดีแล้ว ก่อนตัดสินใจเดินเข้าไปในโชว์รูม แนะนำให้ “ทดลองขับ” ดูซะก่อน ด้วยการขับรถแต่ละรุ่นที่คุณลิสต์เอาไว้ทั้งหมด เพื่อทำการเปรียบเทียบ และตัดสินใจว่าคุณชอบแบบไหนมากกว่า หรือรถรุ่นใดสามารถตอบโจทย์ความชอบของคุณได้ดีที่สุด

เพราะในบางครั้งสิ่งที่คุณคิด อาจจะไม่ตรงตามความเป็นจริง เช่น รถรุ่นนี้กว้างขวาง จุสมาชิกในครอบครัวได้เยอะ เก็บสัมภาระได้มากมาย แต่เมื่อทดลองขับจริงแล้วกลับพบว่า การออกแบบห้องโดยสารให้ความรู้สึกอึดอัด นั่งไม่สบายตัว หรืออื่นๆ จะช่วยให้คุณตัดสินใจก่อนซื้อได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น