อีกหนึ่งปัญหาที่หลายคนให้ความสนใจเกี่ยวกับ “รถไฟฟ้า” คือ รถไฟฟ้า EV แบตเตอรี่หมด ชนิดที่ว่าหมดเกลี้ยง 0% จะเกิดอะไรขึ้น ขับต่อได้ไหม ? แล้วมีผลเสียอะไรตามมาบ้างหรือเปล่า ? หากคุณเป็นอีกหนึ่งคนที่สนใจ และเป็นกังวลในเรื่องนี้ MrKumka ได้รวบรวมประเด็นที่น่าสนใจมาให้ในบทความนี้ ไปดูพร้อม ๆ กันได้เลย
ไขข้อสงสัย รถไฟฟ้า EV แบตเตอรี่หมด 0% ขับต่อได้ไหม ?
สำหรับคำถามที่ว่ารถไฟฟ้าแบตเตอรี่หมด 0% สามารถขับต่อได้ไหม ? เราขออ้างอิงคำตอบจากการทดลองขับ Tesla Model X ปี 2022 ผลปรากฏว่าหลังจากขับรถวนละแวกบ้าน 20 รอบ เป็นเวลานานกว่า 2 ชั่วโมง เมื่อแบตเตอรี่เหลือ 0% ยังคงขับต่อไปได้ ด้วยการรีเซ็ตค่าไมล์ Trip B ให้เริ่มนับกิโลเมตรที่ 1 เมื่อเห็นว่าแบตเตอรี่แจ้งเตือน 0%
และการที่สามารถขับต่อไปได้ ไม่ใช่ขับแค่แป้บ ๆ ก็จอดนิ่งสนิท แต่ยังสามารถขับต่อไปได้อีกประมาณ 33 กิโลเมตร จากพลังงานสำรองที่สำรองไว้เลี้ยงแบตเตอรี่ และการรีชาร์จผ่านมอเตอร์รถยนต์ขณะไม่ได้เหยียบคันเร่ง
รถไฟฟ้าแบตหมด 0% วิ่งต่อได้ แต่ไม่ควร !
อย่างที่บอกไปแล้วว่าจากการทดลองขับรถ Tesla เมื่อแบตเหลือ 0% ยังคงสามารถขับต่อไปได้อีก 33 กิโลเมตร แต่เห็นแบบนี้ก็ใช่ว่าจะเป็นเรื่องที่ควรทำแต่อย่างใด เพราะถึงแม้ว่ารถยนต์ไฟฟ้าจะถูกออกแบบให้มีกำลังไฟสำรอง เพื่อหลาย ๆ เหตุผล เช่น ความปลอดภัย การเข้าเกียร์ รวมถึงอายุการใช้งาน แต่การที่ใช้งานรถยนต์ EV จนแบตเหลือ 0% โดยไม่มีประจุไฟฟ้าหลงเหลืออยู่เลย อาจทำให้แบตเตอรี่เสื่อมสภาพทันที แม้ว่าจะเป็นแบตก้อนใหม่ก็ตาม เพราะฉะนั้นอย่าหาทำเด็ดขาด ถ้าไม่อยากเสียเงินเปลี่ยนแบตเตอรี่ใหม่
สิ่งที่ควรระวังเมื่อใช้รถยนต์ไฟฟ้า
นอกจากการระวังไม่ให้แบตเตอรี่รถไฟฟ้าเหลือ 0% แล้ว ยังมีข้อควรระวังอีกมาก ที่คนใช้รถไฟฟ้าควรให้ความสำคัญ และใส่ใจเป็นพิเศษ ซึ่งจะมีอะไรบ้าง ไปดูพร้อม ๆ กันเลย
ระยะทางในการขับขี่
ด้วยความที่รถยนต์ไฟฟ้ามี “ข้อจำกัด” ในเรื่องของระยะทาง ส่วนใหญ่จะอยู่ที่ประมาณ 200-600 กิโลเมตร ขึ้นอยู่กับรุ่นรถยนต์ และขนาดของแบตเตอรี่ ดังนั้นก่อนออกเดินทางควรวางแผนการเดินทางให้ดี หากมองว่าความจุแบตเตอรี่ไม่น่าจะเพียงพอ หรือพาคุณไปถึงจุดหมายปลายทางได้ ให้หาข้อมูลว่าระหว่างทางมีสถานีชาร์จหรือเปล่า เพื่อป้องกันปัญหาที่อาจเกิดขึ้นตามมา
สถานีชาร์จไฟฟ้า
อย่างที่เหล่าเกริ่นไปคร่าว ๆ แล้วว่า ให้มองหาสถานีชาร์จก่อนออกเดินทางทุกครั้ง ในกรณีที่ต้องเดินทางไกล หมายความว่าสถานีชาร์จมีความสำคัญมาก ๆ เนื่องจากเป็นแหล่งพลังงานในการ “เติมไฟ” ให้กับรถยนต์ของคุณ ให้สามารถขับเคลื่อนไปข้างหน้า และพาคุณไปถึงจุดหมายปลายทางได้อย่างราบรื่น แนะนำว่าให้หาหลาย ๆ ที่สำรองเอาไว้ เผื่อกรณีฉุกเฉิน เช่น ตู้ชาร์จเสีย หรือปิดให้บริการ
ปริมาณแบตเตอรี่คงเหลือ
แม้ว่าจะมีการวางแผนการเดินทางมาเป็นอย่างดี บวกกับหาสถานีชาร์จไว้แล้ว แต่อะไร ๆ ก็สามารถเกิดขึ้น เพราะฉะนั้นควรหมั่นเช็กปริมาณแบตเตอรี่คงเหลือด้วยว่า เพียงพอตามที่เราคาดคะเนไว้หรือเปล่า เพราะถ้าหากคลาดเคลื่อนจากที่คาดคะเนไว้ อาจทำให้ต้องปาดเหงื่อกันเลยทีเดียว
ความร้อนของแบตเตอรี่
อีกหนึ่งเรื่องสำคัญที่ควรให้ความสำคัญและใส่ใจมาก ๆ ก็คือ “ความร้อนของแบตเตอรี่” ที่นับว่าเป็นหนึ่งในภัยร้ายเลยก็ว่าได้ เนื่องจากแบตเตอรี่ลิเธียมไลออนไม่ชอบความร้อน เพราะเป็นตัวเร่งอายุการใช้งานของแบตเตอรี่ให้สั้นลง แถมยังส่งผลต่อการชาร์จแบตโดยตรง
แบตเตอรี่ที่มีความร้อนสูง เมื่อชาร์จด้วย DC Fast Charge ตัวแบตเตอรี่จะรับพลังงานไฟฟ้า “น้อยกว่าปกติ” สูงถึง 50% ซึ่งเป็นสาเหตุจากระบบจัดการแบตเตอรี่ของตัวรถ ที่พยายามรักษาอุณหภูมิของแบตฯ ให้อยู่ในระดับปกตินั่นเอง
การใช้คันเร่งของรถยนต์ไฟฟ้า
แม้ว่าการเหยียบคันเร่งจนมิด จะช่วยให้คุณถึงจุดหมายปลายทางได้อย่างรวดเร็ว ตรงตามแพลนที่วางไว้ก็จริง แต่อย่าลืมว่าเมื่อใช้พลังงานมาก แบตเตอรี่ก็ยิ่งลดลงมากตามไปด้วย และเมื่อขับรถเร็ว แบตร้อน การชาร์จอาจทำได้ไม่เต็มประสิทธิภาพ หรืออย่างที่เราบอกไปว่าจะน้อยกว่าปกติ 50% เนื่องจากตัวแบตไม่สามารถระบายความร้อนได้ทัน หมายความว่าระยะเวลาในการชาร์จของคุณจะมากกว่าปกติ และส่งผลให้คุณถึงจุดหมายปลายทางช้ากว่าที่ควรจะเป็นนั่นเอง
เป็นยังไงกันบ้าง ? สำหรับข้อควรรู้ที่เรานำมาบอกต่อเมื่อข้างต้น จะเห็นได้ว่า “แบตเตอรี่” เป็นหัวใจสำคัญของรถยนต์ไฟฟ้า ที่คุณควรให้ความใส่ใจ และทะนุถนอมให้มาก ๆ เพราะถ้าหากเกิดความเสียหาย ต้องเปลี่ยนแบตก้อนใหม่ขึ้นมา บอกเลยว่ามีหนาว เพราะราคาแบตไม่ใช่เล่น ๆ เลยล่ะ
วิธีถนอมแบตรถอีวี ทำยังไงได้บ้าง ?
ถ้าจะบอกว่าแบตเตอรี่ ev เป็นอะไหล่ที่ค่อนข้างอ่อนไหวและบอบบาง ก็ไม่ใช่เรื่องที่ผิดอะไร เพราะเพียงแค่คุณเหยียบคันเร่งเร็วนิดหน่อย เผลอชาร์จไม่เป็นไปตามเกณฑ์ ก็อาจทำให้แบตฯ เสื่อมได้ง่าย ๆ ถ้าอย่างนั้นเราไปดูเทคนิคถนอมแบตกันเลยดีกว่า
- ไม่ควรใช้งานรถอีวีจนแบตเตอรี่เหลือ 0% แล้วค่อยชาร์จ เพราะอาจทำให้แบตเตอรี่ทำงานหนักขึ้น จนเกิดความร้อนในที่สุด
- ไม่ควรชาร์จแบตเตอรี่จนเต็ม 100% เพราะอาจทำให้อายุการใช้งานลดลง แนะนำให้รักษาระดับแบตเตอรี่ให้อยู่ระหว่าง 20% - 80% ทุกครั้งที่ทำได้
- หลีกเลี่ยงการจอดรถและชาร์จในพื้นที่ที่มีอุณหภูมิสูงจัด ทางที่ดีที่สุดควรชาร์จแบตรถอีวีในที่ร่มเพื่อให้ระบบจัดการความร้อนสามารถทำงานได้อย่างเต็มประสิทธิภาพ โดยไม่มีการรบกวนจากภายนอก
- หากจำเป็นต้องจอดรถทิ้งไว้นานเป็นเดือน ควรมีระดับแบตเตอรี่อย่างน้อย 30%
หากคุณสามารถทำตามเทคนิคถนอมแบตฯ ที่เรานำมาบอกต่อเมื่อข้างต้นได้อย่างเคร่งครัด จะช่วยให้แบตเตอรี่ของรถคุณ มีอายุการใช้งานเป็นไปตามเกณฑ์ที่ควรจะเป็น และสิ่งที่ควรระมัดระวังมากที่สุดก็คือ 2 ข้อแรก เนื่องจากเป็นสาเหตุหลักที่ทำให้แบตเสื่อมเร็วมาก ๆ ยังไงล่ะ
รถยนต์ไฟฟ้าช่วยประหยัดค่าใช้จ่ายได้จริงไหม ?
อย่างที่บอกว่าแบตเตอรี่รถยนต์ไฟฟ้า มีราคาค่อนข้างสูง หากต้องเปลี่ยนขึ้นมาอาจทำให้ลมจับได้ รวมถึงแหล่งพลังงานไฟฟ้าก็เป็นการชาร์จไฟ ถ้าไม่ชาร์จไฟที่บ้าน ก็ต้องไปเสียเงินที่สถานีชาร์จนอกบ้าน แล้วแบบนี้จะประหยัดตอนไหน ? และช่วยให้คุณประหยัดได้จริงหรือเปล่า ?
คำตอบคือช่วยให้คุณประหยัดได้ตั้งแต่คำว่า “ใช้แหล่งพลังงานไฟฟ้า ในการขับเคลื่อนรถยนต์“ แล้วล่ะ เพราะเมื่อเทียบกับค่าพลังงานเฉลี่ยของรถยนต์ที่ใช้น้ำมันเชื้อเพลิง ไม่ว่าจะเบนซินหรือดีเซล จะมีค่าใช้จ่ายเฉลี่ยอยู่ที่ประมาณ ลิตรละ 30-40 บาท ส่วนรถยนต์ไฟฟ้ามีค่าใช้จ่ายด้านพลังงานที่แตกต่างกันออกไป ขึ้นอยู่กับประเภทการชาร์จ ดังนี้
- ชาร์จไฟบ้านผ่านมิเตอร์แบบ TOU ค่าพลังงานไฟฟ้าตกหน่วยละ 2.6369 บาท/หน่วย
- ชาร์จแบบ DC Fast Charge ตามสถานีชาร์จนอกบ้าน มีค่าบริการอยู่ที่ 7.5 บาท/หน่วย ซึ่งไฟฟ้า 1 หน่วย สามารถขับเคลื่อนรถยนต์ไฟฟ้าได้ประมาณ 4-7 กิโลเมตร เมื่อเทียบกับค่าพลังงานต่อกิโลเมตรแล้ว จะเห็นได้ว่า “ถูกกว่า” รถยนต์สันดาปพอสมควรเลยล่ะ
สรุปง่าย ๆ แบบเห็นภาพชัดมากขึ้น คือ รถไฟฟ้า EV มีต้นทุนค่าพลังงานเริ่มต้น 0.37 บาท/กิโลเมตร แต่รถยนต์สันดาป (ใช้น้ำมัน) มีต้นทุนค่าพลังงานเริ่มต้น 1.76 บาท/กิโลเมตร จึงเป็นเหตุผลสำคัญที่เห็นว่าคนสมัยใหม่ โดยเฉพาะคนที่ใช้ชีวิตในเมือง หันมาเลือกซื้อและใช้งานรถยนต์ไฟฟ้าเพิ่มมากขึ้น และมีแนวโน้มว่าจะเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ ไม่มีที่สิ้นสุดอีกด้วย
รถยนต์ไฟฟ้า หรือที่หลายคนนิยมเรียกกันว่ารถอีวีไม่ได้มีรายละเอียดที่ยุ่งยาก หรือปัญหาจุกจิกอย่างที่หลายคนเข้าใจ แต่เป็นหนึ่งในรถยนต์ทางเลือกที่ต้องให้ความใส่ใจเป็นพิเศษ เนื่องจากทั้งหมดทั้งมวลขึ้นอยู่กับ “แบตเตอรี่” เป็นหลัก หากเกิดอะไรขึ้นมากับแบตเตอรี่ขึ้นมา นอกจากจะต้องปวดหัวกับปัญหาต่าง ๆ ที่ตามมาแล้ว ยังต้องมานั่งเจ็บปวดกับค่าใช้จ่ายที่เกิดขึ้นอีกด้วย