หัวข้อที่น่าสนใจ
- ถ้าหากใบขับขี่หมดอายุ ต้องต่อภายในกี่วัน ?
- “ความผิดตามกฎหมาย” เมื่อปล่อยให้ใบขับขี่หมดอายุ
- วิธีจองคิวอบรมต่อใบขับขี่ออนไลน์ 2567
- วิธีจองคิว “อบรมต่อใบขับขี่ออนไลน์”
- “เอกสาร” ที่จำเป็นต้องใช้ ในการต่ออายุใบขับขี่
- วิธีจองคิว “ต่อใบขับขี่ออนไลน์”
- ใบขับขี่หมดอายุ “เคลมประกัน” ได้ไหม ?
- 1. กรณีเป็นฝ่ายถูก
- 2. กรณีเป็นฝ่ายผิด
- 3. กรณีอื่น
รู้หรือไม่ ! ใบขับขี่หมดอายุ หากปล่อยทิ้งไว้ เจอ “ค่าปรับ” แน่ ! ในกรณีที่ปล่อยให้ขาดไปแล้ว 3 ปี จะต้องทำยังไง ? ต้องสอบใหม่ไหม ? หรือมีข้อมูลเพิ่มเติมอะไรที่ต้องทำความเข้าใจบ้าง ? มิสเตอร์ คุ้มค่า ได้รวบรวมประเด็นที่น่าสนใจมาให้แล้ว ไปดูพร้อม ๆ กันได้เลย !
ถ้าหากใบขับขี่หมดอายุ ต้องต่อภายในกี่วัน ?
ไม่ว่าใบขับขี่ของคุณจะหมดอายุด้วยสาเหตุใดก็ตาม เช่น ลืม ละเลย หรือตั้งใจปล่อยให้ขาด ล้วนมีความผิดตามกฎหมาย เมื่อถูกตำรวจจราจรเรียกจะต้องเสียค่าปรับแน่นอน ถ้าอย่างนั้นเราไปดูกันดีกว่าว่า “ใบขับขี่หมดอายุ ต้องต่อภายในกี่วัน” หากปล่อยไว้นานจะต้องทำยังไง สอบใหม่ไหม เสียค่าปรับเท่าไหร่ ? ไปไล่ดูกันสักหน่อย
รู้หรือไม่ ! ใบขับขี่ต่อล่วงหน้าได้ 3 เดือน
หากไม่อยากเสี่ยงเจอกับ “ค่าปรับ” เนื่องจากใบขับขี่หมดอายุ “สามารถต่อล่วงหน้าได้ 3 เดือน” กรณีที่ใบขับขี่หมดอายุไม่เกิน 1 ปี สามารถดำเนินการต่อใบขับขี่ได้ที่ ‘กรมการขนส่งทางบก’ ได้เลย โดยไม่ต้องเสียค่าธรรมเนียมการต่ออายุ
หากใบขับขี่หมดอายุ 1 ปีขึ้นไป แต่ไม่เกิน 3 ปี
สำหรับคนที่ใบขับขี่หมดอายุเกิน 1 ปี แต่ยังไม่เกิน 3 ปี จะต้อง “สอบข้อเขียนใหม่” ซึ่งเกณฑ์การวัดคะแนนจะเหมือนกับตอนทำใบขับขี่ใหม่ หรือพูดง่าย ๆ ว่าต้องได้คะแนนมากกว่า 90% นั่นเอง
ใบขับขี่หมดอายุเกิน 3 ปีขึ้นไป
หากปล่อยให้ใบขับขี่หมดอายุกินเวลานานกว่า 3 ปี กรณีนี้จะต้อง “สอบใบขับขี่ใหม่ทั้งหมด” ไม่ว่าจะเป็นภาคปฏิบัติหรือข้อเขียน และเกณฑ์ในการวัดคะแนนจะเหมือนกับตอนทำใบขับขี่ใหม่นั่นเอง
“ความผิดตามกฎหมาย” เมื่อปล่อยให้ใบขับขี่หมดอายุ
อย่างที่บอกไปแล้วว่า “ใบขับขี่หมดอายุ มีความผิดตามกฎหมาย” และจะต้องจ่ายค่าปรับเมื่อถูกตำรวจจราจรเรียกตรวจ ถ้าอย่างนั้นเราไปดูกันดีกว่าว่าจะ ‘ความผิด’ ฐานใด และต้องเสียค่าปรับเป็นเงินจำนวนเท่าไหร่บ้าง
- ขับขี่โดยไม่มีใบขับขี่ มีโทษจำคุก 1 เดือน ปรับไม่เกิน 1,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ
- ขับขี่ในขณะที่ใบขับขี่หมดอายุ (มาตรา 65) มีโทษปรับ ‘ไม่เกิน’ 2,000 บาท
วิธีจองคิวอบรมต่อใบขับขี่ออนไลน์ 2567
ก่อนที่จะต้องไปต่อใบขับขี่ทุกครั้ง จำเป็นจะต้อง “อบรม” ให้เรียบร้อยก่อน ซึ่งปัจจุบันการจองคิวอบรมต่อใบขับขี่ หรือจองคิวต่อใบขับขี่ สามารถดำเนินการผ่านแพลตฟอร์มออนไลน์ได้แล้ว* โดยมีรายละเอียดที่น่าสนใจดังต่อไปนี้
วิธีจองคิว “อบรมต่อใบขับขี่ออนไลน์”
การต่อใบขับขี่ในปัจจุบันไม่ใช่เรื่องยาก และเสียเวลาอีกต่อไป เพราะสามารถดำเนินการ “อบรมต่อใบขับขี่ออนไลน์” ได้ ไม่ต้องไปนั่งฟังที่ขนส่งเหมือนเมื่อก่อน โดยมีขั้นตอนง่าย ๆ ดังนี้
‘จองคิว’ ผ่านเว็บไซต์
ก่อนอื่นแนะนำให้เข้าไปที่ เว็บไซต์ระบบอบรบใบอนุญาตขับรถ พร้อมกับลงทะเบียนเข้ารับการอบรมต่อใบขับขี่ หรือเพิ่มความสะดวกสบายให้มากขึ้น ด้วยการดาวน์โหลดและติดตั้งแอปพลิเคชัน DLT Smart Queue เพื่อลงทะเบียนได้เช่นกัน
ลงทะเบียนต่อใบขับขี่
สำหรับ ‘สมาชิกใหม่’ ที่ต้องการเข้ารับการอบรมใบอนุญาตขับรถ ให้เลือกไปที่ “ลงทะเบียนใหม่” พร้อมกับระบุข้อมูลให้ครบถ้วน ถูกต้อง และเป็นความจริง เช่น เลขบัตรประชาชน, เบอร์โทรศัพท์, อีเมล ฯลฯ
เลือกใบขับขี่ที่ต้องการต่ออายุ
เลือกเข้ารับการอบรมตาม “ประเภท” ใบอนุญาตขับรถที่ต้องการต่ออายุ
ทำแบบทดสอบ
เลือก “ทำแบบทดสอบก่อนอบรม” แนะนำให้ทำอย่างตั้งใจ ตอบอย่างมีสติ เพื่อให้ผ่านการอนุมัติอบรมต่อใบขับขี่
ดูวิดีโออบรมขับรถ
จำเป็นจะต้องดูวิดีโออบรมขับรถให้จบ เพราะในช่วงท้ายจะมี “แบบทดสอบหลังอบรม” ให้คุณตอบคำถามอีกครั้ง
ตอบคำถาม
หลังจากดูวิดีโอจนจบ ให้ทำแบบทดสอบหลังอบรมอีกครั้ง หากตอบครบและตอบถูกทุกข้อ แค่นี้การอบรมใบขับขี่ก็ผ่านฉลุยแล้วล่ะ
บันทึกหน้าจอที่อบรมเก็บไว้
หลังจากที่ทำทุกอย่างเสร็จสิ้นมาจนถึงตอนนี้ หมายความว่าคุณมาเกินครึ่งทางแล้ว ให้ทำการ “บันทึกหน้าจอ” การอบรมใบขับขี่เก็บไว้เป็นหลักฐาน เพื่อใช้ยืนยันกับเจ้าหน้าที่ขนส่งว่าคุณ ‘ผ่านการอบรมต่อใบขับขี่ออนไลน์’ แล้ว
“เอกสาร” ที่จำเป็นต้องใช้ ในการต่ออายุใบขับขี่
หลังจากรู้ว่าใบขับขี่ใกล้หมดอายุ หรือหมดอายุไปแล้ว แนะนำให้เตรียมเอกสารที่จำเป็นให้พร้อม เพื่อนำไปยื่นต่ออายุใบขับขี่ที่ ‘กรมการขนส่งทางบก’ ที่เลือกไว้ ตามวันและเวลาที่นัดหมาย โดยมีเอกสารที่ต้องเตรียม ดังนี้
- บัตรประจำตัวประชาชนตัวจริง
- ใบขับขี่เดิมหรือใบแทน
- ใบรับรองแพทย์
- รูปถ่ายบันทึกหน้าจอผลการอบรม
วิธีจองคิว “ต่อใบขับขี่ออนไลน์”
หลังจากผ่านการอบรมและเตรียมเอกสารต่าง ๆ เรียบร้อย มาถึง “โค้งสุดท้าย” กันแล้วล่ะ จากนั้นให้ทำการ “จองคิว” เพื่อต่อใบขับขี่ได้ทันที โดยมีขั้นตอนดังนี้
- จองคิวต่อใบขับขี่ออนไลน์ ผ่านเว็บไซต์หรือผ่านแอปพลิเคชัน
- กรอกข้อมูลส่วนตัวเพื่อสมัครใช้งาน และสร้างรหัสผ่านเพื่อเข้าสู่ระบบ
- เลือกสำนักงานขนส่งที่สะดวกเข้าไปใช้บริการ
- เลือกการขอใบอนุญาตขับรถ
- เลือกประเภทงานที่ต้องการเข้ารับบริการ เช่น ต่อใบขับขี่ 2 ปีเป็น 5 ปี / 5 ปีเป็น 5 ปี
- เลือกเวลาที่สะดวก จากนั้นกด “ยืนยัน” การจองคิว และยืนยันการจองได้เลย
- นำเอกสารที่เตรียมไว้ ไปยื่นต่อใบขับขี่ที่สำนักงานขนส่งตามวันและเวลาที่นัดหมาย
ใบขับขี่หมดอายุ “เคลมประกัน” ได้ไหม ?
อีกหนึ่งคำถามที่หลายคนให้ความสนใจ และเป็นกังวลมาก ๆ คือ “ใบขับขี่หมดอายุ ส่งผลกระทบต่อการเคลมประกันไหม” ซึ่งในส่วนนี้สามารถแยกได้ทั้งหมด 3 ประเด็น ดังนี้
1. กรณีเป็นฝ่ายถูก
หากอุบัติเหตุที่เกิดขึ้นคุณเป็น “ฝ่ายถูก” แม้ว่าจะไม่มีใบขับขี่ หรือไม่เคยทำใบขับขี่มาก่อน แต่รถยนต์ของคุณมีประกันภัยรถยนต์ภาคสมัครใจ ยังคง “ได้รับความคุ้มครอง” ตามกรมธรรม์ที่เลือกซื้อไว้ ซึ่งบริษัทประกันของคุณจะทำหน้าที่ ‘เรียกร้องค่าเสียหาย’ จากบริษัทประกันของคู่กรณีที่เป็นฝ่ายผิดเอง
2. กรณีเป็นฝ่ายผิด
ในทางกลับกันหากอุบัติเหตุที่เกิดขึ้นคุณเป็นฝ่ายผิด แถมยังไม่มี ไม่พกใบขับขี่ หรือใบขับขี่หมดอายุ จะแยกออกเป็นประเด็นย่อย ๆ ดังนี้
- มีใบขับขี่แต่ไม่ได้พกมา: บริษัทประกันยังคงให้ความคุ้มครองทั้งผู้เอาประกันและคู่กรณี แต่คนขับจะต้องนำสำเนาใบขับขี่มาแสดงหลักฐานต่อไป
- พกใบขับขี่แต่ใบขับขี่หมดอายุ: บริษัทประกันยังคงให้ความคุ้มครองเช่นเดียวกัน แม้ว่าใบขับขี่จะหมดอายุ
- ใบขับขี่ถูกยึด: ไม่ว่าใบขับขี่จะถูกยึดด้วยเหตุผลใดผู้เอาประกันยังคงได้รับความคุ้มครองจากบริษัทประกันเช่นเดียวกัน
- ไม่มีใบขับขี่: หากคุณไม่มีใบขับขี่ เพราะไม่เคยสอบใบขับขี่มาก่อน เมื่อเกิดอุบัติเหตุจะไม่ได้รับความคุ้มครอง แม้ว่าจะเป็นฝ่ายถูก นอกจากนี้ยังไม่ได้รับความคุ้มครองจาก พรบ.รถยนต์ อีกด้วย แต่ยังชดเชยความเสียหายกับบุคคลภายนอกตามกรมธรรม์ที่ระบุไว้
3. กรณีอื่น
เช่น กรณีรถหาย/ถูกโจรกรรม ไฟไหม้ น้ำท่วม หรือใด ๆ ผู้เอาประกันจะยัง “ได้รับความคุ้มครอง” จากบริษัทประกันตามเดิม เนื่องจากเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ‘ไม่เกี่ยวข้อง’ กับความสามารถในการขับขี่รถยนต์ แต่จะชดเชยมากน้อยยังไง ขึ้นอยู่กับ ‘เงื่อนไข’ ของประกันภัยรถยนต์แต่ละประเภทที่เลือกซื้อเอาไว้
หลัก ๆ แล้วคือ ไม่ว่าใบขับขี่ของคุณจะหมดอายุ หาย หรือไม่ได้พกติดตัวมา เมื่อเกิดอุบัติเหตุจะยังคงได้รับความคุ้มครองตามเดิม เว้นแต่กรณีที่ไม่เคยทำใบขับขี่มาก่อน แต่ไม่ว่ายังไงก็ตาม ขอเน้นย้ำอีกครั้งว่า “ขับรถไม่พกใบขับขี่ มีความผิด” นอกจากจะต้องเช็กวันหมดอายุแล้ว ควรพกติดตัวตลอดเวลาด้วยเช่นกัน เพื่อป้องกันปัญหาที่อาจตามมาในภายหลัง
แม้ว่าใบขับขี่จะหมดอายุ หาย ไม่ได้พกติดตัว หรือใด ๆ จะไม่ได้ส่งผลกระทบ “ความคุ้มครอง” ของประกันภัยรถยนต์ แต่อย่าได้คิดชะล่าใจเด็ดขาด เพราะอย่างที่บอกว่าขับขี่รถยนต์ไม่มีใบขับขี่มีความผิดตามกฎหมาย เมื่อรู้ว่าใกล้หมดหรือหมดไปแล้ว ควรดำเนินการต่อใบขับขี่ ทันที ซึ่งปัจจุบัน ง่าย ! สามารถจองคิวผ่านช่องทางออนไลน์ได้แล้ว เมื่อถึงวันนัดหมายก็สามารถนำเอกสารไปยื่นได้ทันที