“ระบบไฟส่องสว่างรถยนต์” ใช่ว่าจะมีแค่ไฟหน้ารถยนต์ ไฟท้าย หรือไฟเลี้ยวที่ต้องรู้หลักในการใช้งาน แต่ยังมีเรื่องสำคัญคือไฟตัดหมอกที่หลายคนควรรู้จัก จะต้องเปิดยังไงให้ปลอดภัย ไม่รบกวนเพื่อนร่วมทางคนอื่น ๆ และที่สำคัญเรื่อง กฎจราจร ตาม มิสเตอร์ คุ้มค่า ไปทำความเข้าใจเพิ่มเติมเพื่อลดโอกาสเกิดอุบัติเหตุรถยนต์กันเลยดีกว่า
ไฟตัดหมอก คืออะไร ?
หลายคนอาจเพิ่งได้ยินหรือเพิ่งเคยรู้จักกับ “ไฟตัดหมอก“ บางคนหนักกว่ายังเปิดไม่เป็นด้วยซ้ำ โดยไฟประเภทนี้ถูกติดตั้งให้อยู่ในระดับต่ำกว่าไฟหน้ารถยนต์ มีหน้าที่ในการส่องสว่างในระนาบเดียวกับพื้นถนน เห็นดวงเล็ก ๆ แบบนั้นแต่กลับสามารถส่องได้ไกลกว่า 30-80 เมตรล่ะ
โดย “ความเข้มแสง” ที่ถูกปล่อยออกมา จะสามารถส่องทะลุผ่านหมอกหนา หรือช่วยเพิ่มทัศนวิสัยในช่วงที่ฝนตกหนักได้เป็นอย่างดี ในปัจจุบันมีไฟตัดหมอกให้เลือกทั้งหมด 3 ประเภท แต่ละประเภทมีประสิทธิภาพแตกต่างกันออกไป ดังนี้
1. Fog Lamps
Fog Lamps คือ ไฟตัดหมอกที่เน้นความสว่างของตัวแสงให้กระจายออกด้านข้าง ช่วยให้มองเห็นไหล่ทางชัดเจนมากขึ้น ทั้งนี้ยังมีการหักเหแสงค่อนข้างมาก ทำให้แสงพุ่งออกไปไม่ไกลจากตัวไฟ ส่วนใหญ่มักถูกติดตั้งในรถยนต์ที่ใช้ความเร็วต่ำ
2. Driving Lamps
Driving Lamps คือไฟตัดหมอกที่เพิ่มเติมระยะการส่องสว่างให้ไกลมากกว่าเดิม แต่ด้วยความที่ไม่ได้เน้นเรื่องความกว้างของช่วงแสงเหมือนกับ Fog Lamps จึงทำให้ใช้งานได้หลากหลายสถานการณ์ เหมาะสำหรับรถยนต์ที่เดินทางตอนกลางคืนบ่อย ๆ หรือคนที่ขับข้ามจังหวัดเป็นประจำ
3. Pencil Beam Lamps
Pencil Beam Lamps คือไฟตัดหมอกที่เน้นระยะแสงให้พุ่งไปด้านหน้าได้ไกลมากที่สุด เพื่อให้มองเห็นทัศนวิสัยได้ไกลที่สุดเท่าที่จะทำได้ ส่วนใหญ่นิยมติดตั้งให้กับรถยนต์ที่สร้างขึ้นมาเพื่อการแข่งขันแบบครอสคันทรี เนื่องจากต้องเจอกับทางวิบาก และภูมิประเทศที่ไม่ราบเรียบเฉกเช่นถนนทั่ว ๆ ไป
นอกจากจะใส่ใจการเลือกไฟหน้ารถยนต์อย่างไฟตัดหมอก ให้ตอบโจทย์การใช้งานแล้ว “ประกันภัยรถยนต์” ก็เป็นอีกหนึ่งเรื่องที่ควรเลือกซื้ออย่างพิถีพิถัน เพื่อให้รถยนต์คู่ใจได้รับความคุ้มครองที่เหมาะสม หากไม่รู้ว่าซื้อประกันรถยนต์ชั้น 1 ที่ไหนดี เข้ามาเปรียบเทียบประกันรถยนต์กับ มิสเตอร์ คุ้มค่า ก่อนได้ เรายินดีนำเสนอแผนประกันที่หลากหลาย ครอบคลุม แถมประกันภัยชั้น 1 ก็ราคาสบายกระเป๋าสุด ๆ
ในเมืองไทยไฟตัดหมอกจำเป็นไหม ?
ถ้าถามถึง “ความจำเป็น” ของไฟตัดหมอก ต้องขอแยกออกเป็น 2 ประเด็น คือ หากคุณขับรถในเมืองที่มีแสงสว่างเพียงพอ ไฟตัดหมอกอาจไม่จำเป็นเท่าไหร่ แต่ในทางกลับกันหากคุณขับรถออกต่างจังหวัดบ่อย ๆ บางเส้นทางมีแสงสว่างไม่เพียงพอ ไฟตัดหมอกอาจเป็นสิ่งที่ขาดไม่ได้เลยสำหรับคนเดินทางด้วยรถ แต่ก็ต้องรู้หลักในการใช้งานอย่างถูกต้องด้วย
ดังนั้นการใช้ไฟตัดหมอกจะมีประโยชน์มาก ๆ เพราะช่วยส่องพื้นถนนให้สว่าง เสริมความปลอดภัยในการขับขี่ให้มากขึ้น แม้ในหลาย ๆ พื้นที่ในประเทศไทยจะไม่มีหมอกหนา แต่ไฟตัดหมอกก็ยังคงเป็นสิ่งจำเป็นอยู่ดี
ข้อควรระวังในการใช้ไฟตัดหมอก มีอะไรบ้าง ?
หลังจากที่ได้รู้จักไฟตัดหมอกไปพอสมควรแล้ว ว่าคืออะไร มีกี่ประเภท ถ้าอย่างนั้นเรามาดู “ข้อควรระวัง” ของการใช้ไฟหน้ารถยนต์ประเภทนี้กันต่อเลย เพื่อไม่ให้เกิดอันตรายต่อตนเองและผู้อื่น
ใช้เฉพาะเมื่อจำเป็น
แนะนำว่าควรใช้ในตอนที่หมอกลงเท่านั้น หากไม่มีหมอกหรือมีเพียงบาง ๆ จากไฟตัดหมอกจะมีประโยชน์ กลับยิ่งทำให้แสงสะท้อนจากหมอกรบกวนสายตาผู้ขับขี่รถคันอื่น ๆ แทน
ใช้เมื่อไม่มีรถคันอื่นสวนมา
เนื่องจากไฟตัดหมอกกระจายแสงเป็นวงกว้าง หากมีรถสวนมาแสงไฟจะรบกวนสายตา จนอาจทำให้เกิดอุบัติเหตุรถยนต์ได้ หากขับขี่บนถนนที่ค่อนข้างแคบ หรือมีรถสวนมาบ่อย ๆ ควรปิดไฟตัดหมอกทุกครั้ง
ควรใช้ให้ถูกตำแหน่ง
ขอย้ำอีกครั้งว่าไฟตัดหมอกควรติดตั้งให้อยู่ต่ำสุดจากระดับสายตาของผู้ขับขี่ เพื่อไม่ให้แสงสะท้อนจากหมอกรบกวนสายตาผู้ขับขี่ ทำให้มองเห็นสิ่งกีดขวางได้ยาก
ควรตรวจสอบไฟตัดหมอกให้อยู่ในสภาพดีเสมอ
ข้อควรระวังข้อสุดท้าย คือการตรวจสอบไฟตัดหมอกให้อยู่ในสภาพดีเสมอ ไม่มีรอยร้าว หรือแตกหัก เพื่อไม่ให้แสงไฟกระจายไม่เป็นระเบียบจนรบกวนสายตาผู้อื่น
ทำไมไฟตัดหมอกถึงแยงตา ?
เปิดไฟตัดหมอกผิดชีวิตเปลี่ยน เสี่ยงโดนเพื่อนร่วมทางติ ทำคนอื่นเกิดอุบัติเหตุ แถมผิดกฎหมายไม่รู้ตัว ด้วยความที่ไฟตัดหมอกหรือไฟหน้า LED มีลักษณะเป็นไฟสปอร์ตไลท์กระจายแสงในแนวนอน มองเห็นได้ในระยะไกล บวกกับตัวเลนส์ในไฟตัดหมอกหรือสปอร์ตไลท์ไม่ได้เป็นเลนส์แบบมี Cutoff หรือจุดตัดแสงส่วนเกิน ทำให้ความสว่างของมันกลับเป็นการสร้างปัญหาให้กับเพื่อนร่วมทางคนอื่น ๆ ทั้งที่เจ้าของรถไม่รู้ตัวด้วยซ้ำ
โดยเฉพาะแสงที่แยงตาคนขับที่สวนเลนมาหรือกระทั่งสะท้อนจากกระจกหลังของรถคันด้านหน้า จนก่อให้เกิดอุบัติเหตุรถยนต์ได้ ดังนั้นการใช้งานไฟหน้าในส่วนนี้ไม่ใช่ว่าอ้างแค่ว่าเป็นมือใหม่หัดขับ แต่สิ่งที่ต้องพึงระลึกเสมอคือ มันจะไปรบกวนเพื่อร่วมทางหรือไม่อย่างไร ดังนั้นเราไปรู้สักหน่อยว่าใช้ไฟตัดหมอกแบบไหนถึงผิดกฎหมาย ตามไปดูเลย
เปิดไฟตัดหมอกแบบไหนผิดกฎหมาย ?
ตาม พรบ.จราจรทางบก พ.ศ.2522 มาตรา 11 (กฎจราจร) ระบุไว้อย่างชัดเจนว่า "ในเวลาที่มีแสงสว่างไม่เพียงพอที่จะมองเห็น คน รถ หรือสิ่งกีดขวางในทางได้โดยชัดแจ้ง ภายในระยะไม่น้อยกว่าหนึ่งร้อยห้าสิบเมตร ผู้ขับขี่ต้องเปิดไฟหรือใช้แสงสว่างตามประเภท ลักษณะ และเงื่อนไขที่กำหนดในกฎกระทรวงฉบับที่ 15 (พ.ศ.2536)”
“รถคันใดจะมีโคมไฟหน้ารถเพื่อใช้ตัดหมอกก็ได้ โดยติดหน้ารถข้างละหนึ่งดวงอยู่ในระดับเดียวกัน ใช้ไฟแสงขาวหรือแสงเหลืองมีกำลังไฟเท่ากัน ไม่เกินดวงละ 55 วัตต์สูงจากพื้นทางราบไม่เกินกว่าระดับโคมไฟแสงพุ่งไกลและโคมไฟแสงพุ่งต่ำ ศูนย์รวมแสงต้องอยู่ต่ำกว่าแนวขนานกับพื้นทางราบไม่น้อยกว่า 2 องศา หรือ 0.20 เมตร ในระยะ 7.50 เมตรและไม่เฉไปทางขวา”
“ในกรณีที่รถมีโคมไฟเพื่อใช้ตัดหมอก จะเปิดไฟหรือใช้แสงสว่างได้เฉพาะในทางที่จะขับรถผ่านมีหมอก ควัน หรือฝุ่นละอองจนเป็นอุปสรรคอันอาจเกิดอันตรายในขณะขับรถ และเมื่อไม่มีรถอยู่ด้านหน้าหรือสวนมาในระยะของแสงไฟ"
หมายความว่าหากผู้ขับขี่มีการใช้ไฟตัดหมอกด้วยเหตุผลอื่น ๆ ที่ไม่เป็นไปตามกฎจราจรกำหนด จะถือว่าทำผิดกฎหมาย มีโทษปรับไม่เกิน 500 บาท ตามมาตรา 148
ควรเปิดไฟตัดหมอกในสถานการณ์ไหนดีที่สุด ?
เพื่อความปลอดภัยในการขับขี่ ลดความเสี่ยงต่อการเกิดอุบัติเหตุ และเพื่อเลี่ยงการทำผิดกฎหมายแบบไม่รู้ตัว เรามาดูกันดีกว่าว่าสถานการณ์ไหน เหมาะกับการเปิดไฟหน้า LED มากที่สุด
1. ขณะหมอกลงหนาจัด
ในช่วงที่หมอกลงหนามาก ๆ หรือมีควันมาบดบังทัศนวิสัยการขับขี่ ก็เป็นหนึ่งในสถานการณ์ที่ไฟหน้ารถยนต์อย่างไฟตัดหมอก จะเข้ามาช่วยผู้ขับขี่ได้ดีมาก ๆ เพราะอย่างน้อยก็ทำให้รถที่ขับสวนออกมามองเห็นรถคุณได้ชัดเจนมากขึ้น
2. ขณะขับในเขตภูเขาสูง
ไม่ว่าจะเป็นบริเวณทางขึ้นลงเขา หรือพื้นที่ยอดดอยต่าง ๆ โดยเฉพาะแถบภาคเหนือ มักมีอากาศหนาวเย็นแทบตลอดทั้งปี ยิ่งถ้าหากในช่วงนั้น ๆ มีฝนตกด้วย ยิ่งทำให้หมอกลงหนาจนมองไม่เห็นทาง การเลือกใช้ไฟตัดหมอกในสถานการณ์นี้ จะช่วยลดความเสี่ยงต่อการเกิดอุบัติเหตุได้ดีมาก ๆ
3. ขณะฝนตกตอนกลางคืน
แค่ขับรถตอนกลางคืนก็ยากต่อการมองเห็นสิ่งกีดขวางบนท้องถนนเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว ยิ่งถ้าหากคืนนั้นฝนตกหนัก แม้จะเป็นในเมืองก็ทำให้ทัศนวิสัยลดลงได้เช่นกัน การเปิดไฟตัดหมอกในสถานการณ์เช่นนี้ จะช่วยให้ผู้ขับขี่มองเห็นทางและสิ่งกีดขวางได้ชัดเจนมากขึ้น แถมยังลดความเสี่ยงในการเกิดอุบัติเหตุให้น้อยลงได้เช่นกัน
4. ขณะหลังฝนตกที่มีน้ำขัง
แม้ว่าฝนจะหยุดตกไปแล้ว แต่หลาย ๆ คนก็คงทราบกันดีว่าถนนเมืองไทยเป็นหลุมเป็นบ่อค่อนข้างเยอะ หากฝนตกจนน้ำท่วมขัง อาจทำให้เกิดอุบัติเหตุได้ง่าย ดังนั้นการเปิดไฟตัดหมอกในสถานการณ์นี้ จะช่วยให้ผู้ขับขี่เพิ่มความระมัดระวังได้มากกว่า
จริง ๆ แล้วไฟตัดหมอก ไฟหน้ารถยนต์ รวมถึงระบบไฟต่าง ๆ ของรถยนต์ มีคุณภาพและมีประโยชน์อยู่แล้ว แต่หลายคนมักเลือกใช้ผิดวิธี หรือบางคนก็ไม่รู้ว่าสถานการณ์ไหนควรใช้อย่างไร จึงทำให้ของดีมีประโยชน์ก็กลายเป็นไม่มีประโยชน์ไปซะอย่างนั้น แต่เชื่อว่าหลังจากได้รู้จัก ได้เข้าใจ ก็จะช่วยให้เกิดความปลอดภัยในการขับขี่เพิ่มมากขึ้น นอกจากนี้ก็อย่าลืมให้ความสำคัญในเรื่องกฎจราจรด้วย ก่อนถูกปรับแบบไม่ทันตั้งตัว
คำจำกัดความ
ความเข้มแสง | ความหนาแน่นของปริมาณแสงภายในมุมตันที่กำหนดให้ |
ไหล่ทาง | ขอบถนนที่อยู่ติดกับทางจราจรทั้ง 2 ข้าง |
หักเห | เปลี่ยนทางไป, เปลี่ยนแนวไป, ลักษณะการที่แสงเปลี่ยนแนวทางเคลื่อนที่ เมื่อผ่านตัวกลางต่างชนิดกัน |
ครอสคันทรี (cross-country) | เดินทางข้ามประเทศ |