รถยนต์กินน้ำมันมากกว่าปกติ เกิดจากสาเหตุอะไร ? แก้ไขด้วยตัวเองได้ไหม ?

รถยนต์กินน้ำมันเกิดจากสาเหตุอะไรได้บ้าง ?

จริง ๆ แล้วปัญหากินน้ำมันที่เกิดขึ้น ‘อาจ’ เกิดจากพฤติกรรมการขับขี่ของคุณเอง รวมถึงปัจจัยอื่น ๆ ร่วมด้วย ดังนั้นก่อนที่จะไปตามหาวิธีแก้รถกินน้ำมัน เรามาทำความเข้าใจ “สาเหตุ” กันก่อนดีกว่า เพื่อให้การแก้ไขปัญหารถเก๋งกินน้ำมันมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น

• 1. เปิดแอร์เย็นมากเกินไป

  ในสภาพอากาศที่ร้อนอบอ้าว แอร์เย็น ๆ คงเป็นตัวเลือกที่ดีที่สุด ที่ช่วยคลายความร้อนได้เป็นอย่างดี แต่การเปิดแอร์เย็นมากเกินไปทำให้คอมเพรสเซอร์แอร์ทำงานหนัก เป็นหนึ่งในสาเหตุที่ทำให้รถยนต์กินน้ำมันมากขึ้น

• 2. เหยียบคันเร่งและเบรกกะทันหัน

  สำหรับผู้ที่ชื่นชอบการขับขี่รถยนต์ด้วยความเร็ว บวกกับเหยียบเบรกกะทันหัน จะทำให้รถยนต์กินน้ำมัน นอกจากจะทำให้สิ้นเปลืองแล้ว ยังทำให้เครื่องยนต์เสื่อมสภาพเร็วขึ้นอีกด้วย

• 3. บรรทุกของหนักเกินไป

  สำหรับคนที่เดินทางออกต่างจังหวัดบ่อย มีสัมภาระเยอะ หรือชอบขนของไว้เต็มรถ บอกเลยว่าทำให้รถกินน้ำมันมาก ๆ เลยล่ะ เนื่องจากเครื่องยนต์ต้องใช้แรงเพิ่มมากขึ้น ทำให้น้ำมันหมดเร็ว

• 4. ที่กรองอากาศสกปรกหรืออุดตัน

  หากละเลย ไม่ดูแลรักษารถยนต์ให้ดี ปล่อยให้ที่กรองอากาศสกปรกหรืออุดตัน ก็เป็นอีกหนึ่งสาเหตุที่ทำให้รถเก๋งกินน้ำมันด้วยเช่นกัน เนื่องจากเครื่องยนต์ทำงานไม่เต็มที่ ออกซิเจนเข้าไปน้อย ซึ่งส่งผลให้เครื่องยนต์เผาไหม้ไม่เต็มประสิทธิภาพ

• 5. ไม่เปลี่ยนน้ำมันเครื่อง

  อีกหนึ่งสาเหตุที่ทำให้รถยนต์กินน้ำมันแต่หลายคนอาจไม่รู้ หากไม่เปลี่ยนน้ำมันเครื่องตามระยะที่กำหนด หรือทิ้งน้ำมันเครื่องไว้จนข้นหนืด จะทำให้เครื่องยนต์ทำงานหนักขึ้น แถมยังทำให้ระดับน้ำมันเครื่องลดลง เครื่องยนต์จึงทำงานช้าและทำให้รถกินน้ำมันมาก

ต้องบอกก่อนว่า “ประกันภัยรถยนต์” เป็นหนึ่งในเพื่อนร่วมทางที่ดีมาก ๆ แม้ว่าจะพบเจอเหตุการณ์รถยนต์กินน้ำมัน จนทำให้น้ำมันหมดกลางทาง, กุญแจหาย, เกิดอุบัติเหตุ บริษัทประกันก็พร้อมเคียงข้างคุณทุกเหตุการณ์เสมอรวมถึงการให้คำปรึกษาเมื่อน้ำมันหมดกลางทาง เนื่องจากสาเหตุรถเก๋งกินน้ำมันอีกด้วย หากอยากได้ความคุ้มครองที่ครอบคลุม แต่ไม่รู้ว่าจะต้องซื้อประกันกับที่ไหน MrKumka เป็นหนึ่งในตัวเลือกที่น่าสนใจ มีแผนประกันให้เลือกหลากหลาย แถมยังเช็คประกันรถยนต์ได้ตลอด 24 ชั่วโมงอีกด้วย

แก้รถกินน้ำมันด้วยตัวเองได้ไหม ต้องทำยังไง ?

สำหรับคนที่กำลังหาคำตอบว่า สามารถแก้รถกินน้ำมันด้วยตัวเองได้ไหม ? คำตอบคือ “ได้” ซึ่งมีวิธีแก้รถกินน้ำมันที่ง่ายมาก ๆ เพียงแค่รู้สาเหตุที่ทำให้รถยนต์กินน้ำมัน ก็ช่วยให้แก้ไขปัญหาได้อย่างตรงจุดแล้ว แต่ถ้าหากยังมองภาพไม่ออก MrKumka ลิสต์มาให้คร่าว ๆ ดังนี้

• 1. ใช้ความเร็วคงที่ให้ได้มากที่สุด

  อย่างที่บอกไปก่อนหน้านี้แล้วว่าการขับรถเร็ว เป็นหนึ่งในสาเหตุที่ทำให้รถยนต์กินน้ำมัน ดังนั้นหากต้องการแก้ไขปัญหารถกินน้ำมัน เพียงแค่ใช้ความเร็วคงที่ให้นานที่สุด เนื่องจากช่วงจังหวะที่เพิ่มความเร็วจะเป็นช่วงที่รถกินน้ำมันมากที่สุด ดังนั้นควรหลีกเลี่ยงการเพิ่มหรือลดความเร็วโดยไม่จำเป็น

• 2. เติมลมยางตามที่ผู้ผลิตกำหนด

  การปล่อยให้ลมยางอ่อนเกินไปจะทำให้ยางเกิดหน้าสัมผัสกับพื้นถนนมากกว่าปกติ เกิดเป็นแรงต้านการหมุนล้อที่สูงขึ้น หมายความว่าเครื่องยนต์ต้องใช้แรงในการเคลื่อนที่มากขึ้น ซึ่งเป็นสาเหตุที่ทำให้รถยนต์กินน้ำมันมากขึ้นตามไปด้วยนั่นเอง และถ้าหากลมยางอ่อนเกินไป อาจทำให้ยางรถยนต์แตกได้อีกด้วย

  วิธีแก้รถเก๋งกินน้ำมันง่าย ๆ คือ เติมลมให้ได้ตามที่ผู้ผลิตกำหนด โดยดูได้จากคู่มือหรือสติกเกอร์ที่ติดไว้บริเวณด้านในของเสากลางฝั่งผู้ขับขี่ นอกจากนี้ยังสามารถเติมลมยางสูงกว่าที่กำหนดได้เล็กน้อย (ประมาณ 2-4 ปอนด์) เพื่อช่วยเพิ่มความประหยัดน้ำมันให้มากขึ้น

• 3. นำของที่ไม่จำเป็นออกจากรถ

  การบรรทุกของหนักมากเกินไป โดยเฉพาะรถยนต์ที่ใช้เครื่องยนต์เบนซิน 2,000 ซีซี จะทำให้เครื่องยนต์กินน้ำมันมากขึ้น (เฉลี่ย 3.4%) และถ้าหากขับขี่ในเมืองก็จะกินน้ำมันเพิ่มขึ้นถึง 5.4% การนำสิ่งของที่ไม่จำเป็นออกจากรถ จะเป็นอีกหนึ่งวิธีในการแก้รถกินน้ำมันได้ดี

• 4. เปลี่ยนไส้กรองอากาศ

  ไส้กรองอากาศที่ผ่านการใช้งานมาเป็นเวลานาน จะทำให้สิ่งสกปรกอุดตัน จนการไหลเวียนของอากาศทำได้ไม่ดีพอ แถมยังส่งผลให้การเผาไหม้ไม่สมบูรณ์ กำลังเครื่องยนต์ตก รวมถึงมีอัตราสิ้นเปลืองที่เพิ่มขึ้น ดังนั้นการถอดไส้กรองออกมาทำความสะอาด หรือเปลี่ยนไส้กรองอากาศใหม่ จะช่วยแก้ปัญหารถเก๋งกินน้ำมันได้อย่างเห็นผล

เห็นแล้วใช่ไหมว่า? การที่รถกินน้ำมันเพิ่มมากขึ้นกว่าปกติ ล้วนมีสาเหตุมาจาก “การบำรุงรักษา และพฤติกรรมการขับขี่” แทบทั้งสิ้น ดังนั้นหากทำตามวิธีแก้รถกินน้ำมันที่เรานำมาบอกต่อ บอกเลยว่าช่วยเซฟเงินในกระเป๋าได้มาก ๆ เลยทีเดียว

ขั้นตอนเช็กลมยาง หนึ่งในทริคแก้รถกินน้ำมันมีอะไรบ้าง ?

อย่างที่บอกไปในหัวข้อก่อนหน้าแล้วว่า “ลมยาง” เป็นหนึ่งในปัจจัยสำคัญที่ทำให้รถยนต์กินน้ำมัน ดังนั้น MrKumka จึงได้รวบรวมขั้นตอนการเช็กลมยางเพื่อแก้ปัญหารถกินน้ำมันมาก รวมถึงเพื่อความปลอดภัยบนท้องถนนมาให้ทำความเข้าใจ ดังนี้

• 1. ความดันลมยาง

  การเช็กลมยางอย่างสม่ำเสมอจะช่วยให้การเดินทางปลอดภัย ไม่ต้องกังวลว่ายางจะแบน หรือทำให้รถยนต์กินน้ำมันหรือไม่ แนะนำให้เช็กความดันลมยางทุก ๆ เดือน ว่ายังอยู่ในระดับที่เหมาะสมหรือเปล่า แถมยังช่วยให้ยางรถยนต์ของคุณมีอายุการใช้งานที่ยาวนานขึ้นอีกด้วย

• 2. ความเสื่อมของดอกยาง

  “ดอกยางเสื่อม” เป็นหนึ่งในสิ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ เนื่องจากมันจะเสื่อมตามอายุการใช้งาน แต่การตรวจเช็กดอกยางอย่างสม่ำเสมอ จะช่วยให้รู้ได้ว่าดอกยางเสื่อมเท่ากันหรือไม่ จำเป็นต้องเปลี่ยนยางใหม่แล้วหรือยัง

• 3. การตั้งศูนย์

  หากยางไม่ได้รับการตั้งศูนย์จะทำให้เกิดการเสื่อมสภาพเร็วขึ้น แถมยังเสื่อมไม่เสมอกันอีกด้วย แน่นอนว่าส่งผลต่อความปลอดภัยในการขับขี่โดยตรงเลยล่ะ ดังนั้นควรตั้งศูนย์ทุก ๆ ครั้งที่นำรถเข้ารับบริการที่ศูนย์ เพื่อเพิ่มความปลอดภัยในการเดินทางให้มากยิ่งขึ้น

• 4. การถ่วงล้อ

  การนำรถเข้าถ่วงล้ออย่างสม่ำเสมอ (ทุก ๆ 5,000 กิโลเมตร และทุก ๆ 10,000 กิโลเมตร) จะช่วยป้องกันความเสื่อมสภาพของดอกยางแบบไม่เท่ากัน แถมยังช่วยยืดอายุการใช้งานให้ยาวนานยิ่งขึ้น ที่สำคัญยังช่วยให้คุณประหยัดเงินได้อีกนานเลยล่ะ

• 5. จุกลมยาง

  “จุกลมยาง” เป็นอีกหนึ่งชิ้นส่วนที่สำคัญมาก ๆ โดยจุกลมยางจะต้องปิดสนิทอยู่เสมอ หากเสื่อมสภาพจนลมยางรั่วไหล อาจทำให้รถยนต์กินน้ำมันเยอะกว่าปกติ เนื่องจากลมยางอ่อนเกินไป แนะนำว่าทุก ๆ ครั้งที่เปลี่ยนยางใหม่ ให้เปลี่ยนจุกลมยางด้วยเช่นกัน

เติมน้ำมันรถยนต์ยังไง ประหยัดเงินได้มากกว่า ?

เชื่อว่าหลายคนคงเคยได้ยินวลีที่ว่า “เติมน้ำมันตอนเช้าหรือตอนบ่าย จะทำให้ได้ปริมาณน้ำมันเยอะกว่าตอนบ่าย” เนื่องจากอุณหภูมิที่แตกต่างกัน แต่ในความจริงไม่ใช่อย่างนั้นเลย และ MrKumka ก็ได้ลิสต์ทริคเติมน้ำมันฉบับสายประหยัดมาให้แล้ว ต้องเติมยังไงถึงจะดีไปดูกัน!

• 1. ไม่ต้องอุ่นเครื่องก่อนขับ

  หลายคนมักมีความคิดที่ว่าการสตาร์ทรถและจอดแช่ก่อนขับเป็นการ “อุ่นเครื่อง” ซึ่งช่วยให้ประหยัดน้ำมัน หรือเป็นหนึ่งในวิธีแก้รถเก๋งกินน้ำมันได้ดี แต่จริง ๆ แล้วการทำแบบนี้มีแต่จะทำให้เปลืองน้ำมันมากกว่าเดิม แนะนำให้สตาร์ทรถและขับช้า ๆ เพื่อเป็นการอุ่นเครื่องจะดีกว่า นอกจากจะดีต่อเงินในกระเป๋าแล้วยังดีต่อเครื่องยนต์อีกด้วย

• 2. เติมน้ำมันให้เกิน ¾ ของถัง

  การเติมน้ำมันให้เกิน ¾ ของถัง และใช้จนเหลือ ¼ แล้วค่อยเติมใหม่ เป็นหนึ่งในวิธีที่ช่วยเซฟเงินค่าน้ำมันรถยนต์ได้ดีมาก ๆ เนื่องจากเป็นการช่วยถนอมเครื่องยนต์ ยืดอายุการใช้งานของปั๊มติ๊ก ช่วยระบายความร้อน แถมยังทำให้การจ่ายน้ำมันเพียงพอต่อการสร้างแรงดันที่เหมาะสม แน่นอนว่าดีต่อสมรรถนะเครื่องยนต์ในระยะยาว

• 3. เติมน้ำมันเวลาใดก็ได้

  เหตุผลที่ช่วงเวลาไม่มีผลต่อปริมาณน้ำมัน เป็นเพราะว่ากฎหมายระบุให้ปั๊มน้ำมันทุกแห่งต้องมีถังน้ำมันใต้ดิน และมีการควบคุมอุณหภูมิ ดังนั้นไม่ว่าคุณจะเติมน้ำมันช่วงเวลาไหนก็จะได้ปริมาณน้ำมันที่เท่ากัน หากต้องเลือกจริง ๆ ขอให้เป็นช่วงเวลาที่คุณสะดวกที่สุดจะดีกว่า