หัวข้อที่น่าสนใจ
- เทียบหมัดต่อหมัด push start vs ระบบบิดกุญแจ ต่างกันยังไง ?
- ข้อดีและข้อจำกัดของระบบ push start
- ข้อดีของระบบพุชสตาร์ท
- ระบบ push start ดีกว่าระบบบิดกุญแจอย่างไร ?
- 1. ความปลอดภัย
- 2. แบตเตอรี่
- 3. ความสะดวกสบาย
- 4. กุญแจหาย
- 5. การซ่อมแซม
- จะเป็นยังไง ถ้าเผลอกดปุ่ม push start ขณะขับรถ ?
- กดปุ่มพุชสตาร์ทไม่ได้ เพราะแบตหมด ทำยังไงดี ?
- 1. ใช้กุญแจที่ซ่อนอยู่ในตัวรีโมท
- 2. นำรีโมทไปแตะบริเวณปุ่มสตาร์ท
ปัจจุบันนวัตกรรมใหม่ ๆ ของรถยนต์ถูกพัฒนาไปอย่างก้าวกระโดด ไม่เว้นแม้แต่เรื่องของการสตาร์ทรถ ที่จากเดิมที่เป็นเพียงระบบบิดกุญแจก็กลายมาเป็นปุ่ม push start แทน แล้วมันแตกต่างกันยังไง มีข้อดีและข้อจำกัดอย่างไรบ้าง มิสเตอร์ คุ้มค่า ลิสต์ประเด็นที่น่าสนใจมาให้ ตามไปดูพร้อม ๆ กันเลยดีกว่า
เทียบหมัดต่อหมัด push start vs ระบบบิดกุญแจ ต่างกันยังไง ?
ก่อนอื่นมาทำความเข้าใจกันดีกว่า ว่าปุ่ม push start คืออะไร ต่างจากการบิดกุญแจยังไงบ้าง โดยปุ่มพุชสตาร์ท รถยนต์เป็นวิธีการสตาร์ทรถที่พบได้บ่อยในรถยนต์รุ่นใหม่ ๆ ซึ่งถูกออกแบบมาแทนการใช้ระบบบิดกุญแจ แน่นอนว่าช่วยเพิ่มความสะดวกสบายได้มากกว่า ไม่ว่าจะเป็นการสตาร์ทรถ การล็อค หรือการเปิดท้ายรถ
อธิบายแบบชัด ๆ “ พุชสตาร์ท “ คือ ระบบที่ทำหน้าที่เหมือนกับระบบบิดกุญแจ ไม่ว่าจะเป็นการสตาร์ทรถ เปิดระบบต่าง ๆ ภายในระยะ ด้วยการกดปุ่มเพียงปุ่มเดียว โดยไม่ต้องใช้กุญแจเสียบเพื่อบิดสตาร์ท ซึ่งตามปกติแล้ว push start จะทำงานร่วมกับ Smart Key ที่เปรียบเสมือนรีโมท มีการเชื่อมต่อกับระบบต่าง ๆ ของรถยนต์ โดยที่ผู้ใช้งานจำเป็นต้องมี Smart Key อยู่กับตัวหรืออยู่ในรถเสมอ
ข้อดีและข้อจำกัดของระบบ push start
สำหรับคนที่กำลังลังเลว่าจริง ๆ แล้ว ระบบแบบไหนดีหรือตอบโจทย์ได้มากกว่า ถ้าอย่างนั้นตามไปดูข้อดีและข้อจำกัดของระบบ push start ก่อนตัดสินใจกันเลยดีกว่า ว่าจะตอบโจทย์ความต้องการของคุณได้มากน้อยแค่ไหน
ข้อดีของระบบพุชสตาร์ท
ขึ้นชื่อ “เทคโนโลยีใหม่” ที่ถูกเพิ่มเข้ามา แน่นอนว่านอกจากจะช่วยเพิ่มความสะดวกสบายได้มากกว่าแล้ว ยังมี “ข้อดี” อื่น ๆ ตามมาอีกเพียบ โดยมีรายละเอียดดังต่อไปนี้
- มีความสะดวกสบาย ง่ายต่อการใช้งาน ไม่ต้องเสียเวลาหาช่องเสียบกุญแจ ไม่ว่าจะในช่วงเวลาเร่งด่วนหรือตอนกลางคืนก็ตาม
- มี Smart Key ที่เข้ามาช่วยอำนวยความสะดวกต่าง ๆ รวมถึงเรื่องของความปลอดภัย เช่น การเปิด-ล็อกรถ และการสตาร์ทรถ
- รถยนต์รุ่นใหม่ ๆ ที่มีระบบ push start จะมีระบบความปลอดภัยที่ชื่อว่า “Immobilizer” หรือระบบกันขโมย ซึ่งจะทำงานผ่านกล่อง ECU ที่จำแต่รหัสโค้ดของ Smart Key ของรถคันนั้น ๆ หากไม่อยู่ในระยะสัญญาณหรืออยู่ในรถ ผู้อื่นจะไม่สามารถเข้ามาในรถ หรือสตาร์ทรถได้
ข้อจำกัดของระบบพุชสตาร์ท รถยนต์
นวัตกรรมใหม่ ๆ แม้จะมีข้อดี แต่ก็ใช่ว่าจะดี 100% เสมอไป ระบบ push start ก็เช่นกัน และเพื่อให้คุณตัดสินใจได้ง่ายขึ้น ตามไปดู “ข้อจำกัด” ของระบบนี้กันเลยดีกว่า
- อายุการใช้งานของระบบพุชสตาร์ทไม่ทนทาน เมื่อเทียบกับการใช้การบิดกุญแจสตาร์ท เนื่องจากเป็นระบบไฟฟ้าและเซ็นเซอร์ต่าง ๆ ที่อาจเกิดความเสียหายได้ง่าย
- หาก Smart Key หาย จะไม่สามารถสตาร์ทรถได้เลย และถ้าหากเปิดประตูรถ ระบบ Keyless จะส่งสัญญาณเตือนด้วยเสียง
- ตัว Smart Key มีราคาสูง ทำหายขึ้นมาต้องจ่ายแพงกว่า
ปุ่ม push start ใช้งานยังไง ?
หลายคนคงเข้าใจดีแล้วว่า ปุ่ม push start ใช้งานง่าย ๆ เพียงแค่กดปุ่มก็สตาร์ทรถได้ทันที แต่ในความเป็นจริงมันมีอะไรที่มากกว่านั้น เราจึงได้รวบรวมทริคการใช้งานปุ่มดังกล่าวมาให้ ซึ่งจะมีวิธีการใช้ยังไง ตามไปทำความเข้าใจกันเลย
- กดปุ่ม 1 ครั้ง : สามารถเปิดวิทยุเพื่อฟังเพลงได้ แต่จะยังไม่มีการสตาร์ทเครื่องยนต์เกิดขึ้น
- กดปุ่ม 2 ครั้ง : เปิดใช้งานระบบไฟฟ้า สามารถปรับกระจก หรือเช็กสถานะต่าง ๆ ที่แผงหน้าปัดได้
- กดปุ่ม 3 ครั้ง : เป็นการปิดระบบไฟ แต่ถ้ามีการเหยียบเบรคพร้อมกับกดปุ่มพุชสตาร์ท ก็จะเป็นการสตาร์ทรถนั่นเอง
ระบบ push start ดีกว่าระบบบิดกุญแจอย่างไร ?
หลังจากที่ได้ทำความเข้าใจข้อดีและข้อจำกัดของระบบ push start ไปแล้ว เรามาดูข้อดีที่ (อาจ) เหนือกว่าระบบบิดกุญแจกันต่อเลยดีกว่า เพื่อให้คุณตัดสินใจได้ง่ายขึ้น โดยมีรายละเอียดดังต่อไปนี้
-
1. ความปลอดภัย
ระบบ push start
ระบบ พุชสตาร์ท รถยนต์ มีระบบ Immobilizer หรือระบบกันขโมย ทำงานผ่านกล่อง ECU หากไม่มี Smart Key ติดตัวหรืออยู่ในรถ จะไม่สามารถสตาร์ทรถได้
ระบบบิดกุญแจ
การสตาร์ทรถแบบบิดกุญแจ อาจต้องหา “อุปกรณ์เสริม” อย่างตัวล็อคคอพวงมาลัย เพื่อความปลอดภัยที่มากกว่า เพราะมิจฉาชีพทุกวันนี้มีวิธีปลอมกุญแจสารพัดแบบ
-
2. แบตเตอรี่
ระบบ push start
ระบบพุชสตาร์ท รถยนต์ ที่ต้องใช้สัญญาณ Keyless จำเป็นต้องมีแบตเตอรี่สำหรับกุญแจ หากแบตหมดจะไม่สามารถสตาร์ทรถได้
ระบบบิดกุญแจ
ไม่ต้องมานั่งกังวลเรื่องแบตเตอรี่ เพราะระบบ Manual ไม่ต้องหาถ่านมาใส่กุญแจ สามารถเสียบ บิด และไขได้ตลอดเวลา
-
3. ความสะดวกสบาย
ระบบ push start
การสตาร์ทรถด้วยปุ่มพุชสตาร์ทดูจะสะดวกสบายกว่า เพราะไม่ต้องมานั่งบิดกุญแจ 2 สเต็ป เพียงแค่กดปุ่มเครื่องยนต์ก็ติดเหมือนสตาร์ทด้วยกุญแจแล้ว
ระบบบิดกุญแจ
ในอดีตการใช้กุญแจบิดสตาร์ท อาจถูกมองว่าสะดวกสบาย แต่เมื่อมีคู่แข่งที่เหนือกว่าก็ทำให้ตกเป็นรองไปทันที
-
4. กุญแจหาย
ระบบ push start
หากเผลอทำ Keyless หาย จะไม่สามารถสตาร์ทรถได้เลย แถมยังต้องเสียเงินไปซื้อ Keyless ใหม่อีกด้วย
ระบบบิดกุญแจ
ถึงกุญแจหายก็ไม่ใช่เรื่องใหญ่ แค่ไปทำกุญแจสำรองใหม่ก็จบ แถมยังมีราคาถูกกว่าการซื้อ Keyless อีกด้วย แค่ระวังเรื่องกุญแจประตูก้านบิดหรือบิดกุญแจ สตาร์ทไม่ได้ เนื่องจากปัญหาอื่น ๆ ก็พอ
-
5. การซ่อมแซม
ระบบ push start
ด้วยความที่มีระบบไฟฟ้าและเซ็นเซอร์ต่าง ๆ อยู่ภายใน อาจทำให้เกิดความเสียหายได้ง่าย แถมการซ่อมแซมก็ค่อนข้างยุ่งยาก
ระบบบิดกุญแจ
หากกุญแจเสียหาย ไม่ว่าจะเป็นกุญแจก้านบิดหรือบิดกุญแจไม่ได้ ก็ไม่ต้องกังวลมากนักเพราะซ่อมไม่ยาก แถมราคาไม่แพง
จะเป็นยังไง ถ้าเผลอกดปุ่ม push start ขณะขับรถ ?
หนึ่งในประเด็นที่หลายคนสงสัยเป็นอันดับต้น ๆ คือ หากเผลอกดปุ่ม push start ขณะขับขี่ จะเกิดอะไรขึ้น รถจะดับไหม เป็นอันตรายหรือเปล่า? ตอบตรงนี้เลยว่าหากคุณเผลอไปกดและดึงมือกลับทันที รถจะยังไม่ดับ เนื่องจากเป็น “ระบบเซฟตี้” ของตัวรถที่ถูกออกแบบเอาไว้แล้ว แต่ถ้ากดค้างไว้ 2-3 นาที (แล้วแต่รุ่น) ก็จะทำให้เครื่องยนต์ดับได้
ซึ่งการดับเครื่องยนต์ระหว่างที่รถกำลังเคลื่อนที่ บอกเลยว่า “อันตรายมาก” เพราะระบบพวงมาลัยเพาเวอร์จะหยุดทำงาน ทำให้พวงมาลัยหนัก ควบคุมทิศทางได้ยาก ขณะที่แป้นเบรคจะกดได้เพียง 1-2 ครั้ง จากนั้นจะไม่สามารถกดลงได้อีก เนื่องจากปั๊มเบรคไม่ทำงาน แน่นอนว่าอาจนำไปสู่การเกิดอุบัติเหตุบนท้องถนนได้
หากกังวลว่าจะเผลอกดปุ่ม push start ระหว่างขับขี่ จนทำให้รถดับและเกิดอุบัติเหตุตามมา นอกจากการระมัดระวังในการใช้งาน การเลือกซื้อประกันภัยรถยนต์ที่คุ้มครองครอบคลุม ก็เป็นหนึ่งในตัวเลือกที่ช่วยให้คุณอุ่นใจขึ้นได้ พร้อมเคียงข้างคุณทุกเหตุการณ์ไม่คาดฝัน หรือแม้กระทั่งใช้ระบบบิดกุญแจ แล้วเผลอลืมกุญแจหรือทำกุญแจหาย ประกันรถยนต์ก็ช่วยได้เช่นกัน หากสนใจและอยากทำประกันที่ตอบโจทย์ เข้ามาเช็คเบี้ยประกันภัยรถยนต์กับ มิสเตอร์ คุ้มค่า ก่อนใครได้เลย
กดปุ่มพุชสตาร์ทไม่ได้ เพราะแบตหมด ทำยังไงดี ?
ในกรณีที่กุญแจรถแบตหมด ทำให้ไม่สามารถกดปุ่มพุชสตาร์ทได้ อย่าเพิ่งตกใจ เพราะมี “ระบบสำรอง” ที่ช่วยให้คุณสตาร์ทรถได้ตามปกติ เพียงทำตามวิธีดังต่อไปนี้
1. ใช้กุญแจที่ซ่อนอยู่ในตัวรีโมท
รถยนต์แต่ละยี่ห้อและแต่ละรุ่น จะมีวิธีการถอดกุญแจแตกต่างกันออกไป แนะนำให้ศึกษาจากในคู่มือให้ดีก่อน เพื่อป้องกันความเสียหายที่อาจเกิดขึ้นตามมา หลังจากถอดกุญแจออกมาได้แล้ว ให้ใช้กุญแจไขบริเวณมือเปิดประตูเพื่อปลดล็อกรถ ซึ่งในระหว่างนี้อาจทำให้สัญญาณกันขโมยดังได้
2. นำรีโมทไปแตะบริเวณปุ่มสตาร์ท
จากนั้นให้นำรีโมทไปแตะบริเวณปุ่มพุชสตาร์ท รถยนต์ และกดสตาร์ทรถตามปกติ เครื่องยนต์ก็จะติดขึ้น และสัญญาณกันขโมยก็จะดับลง (ตำแหน่งสำหรับแตะกุญแจของรถแต่ละรุ่นอาจแตกต่างกัน แนะนำให้ศึกษาจากคู่มืออีกครั้ง)
เมื่อจับรถถึงจุดหมายปลายทางแล้ว ควรรีบเปลี่ยนแบตเตอรี่รีโมทโดยทันที เพื่อป้องกันอาการ “รีโมทลืมรถ” พูดง่าย ๆ คือ รีโมทจะไม่สามารถใช้งานกับรถคันเดิมได้อีก โดยแบตเตอรี่ที่ใช้กับรีโมทส่วนใหญ่จะเป็นถ่านกระดุม สามารถหาซื้อได้ทั่วไป และสามารถเปลี่ยนได้ง่าย ๆ ด้วยตัวเอง แค่เลือกขนาดให้ตรงกับของเดิมเท่านั้น
ปฏิเสธไม่ได้เลยว่าระบบ push start เป็นหนึ่งในนวัตกรรมที่ช่วยเพิ่มความสะดวกสบายได้ดีมาก ๆ เมื่อเทียบกับระบบบิดกุญแจ แต่ไม่ว่ายังไงก็ตามก็ควรใช้งานอย่างระมัดระวัง อย่าได้เผลอกดปุ่มค้างไว้ขณะขับขี่เด็ดขาด เพราะนอกจากจะทำให้รถดับกลางทางได้แล้ว ยังเสี่ยงต่อการเกิดอุบัติเหตุได้อีกด้วย
คำจำกัดความ
กล่อง ECU | กล่องอุปกรณ์ที่ประมวลผลเช่นเดียวกับคอมพิวเตอร์ ทำหน้าที่รับข้อมูลต่างๆของตัวรถมาประมวลผล |
keyless | ระบบกุญแจที่ไม่ต้องใช้การ เสียบ บิด และไข |
Manual | เกี่ยวกับมือ, ด้วยมือ, ทำด้วยมือ |