ว่าด้วยเรื่องเกียร์รถยนต์ คนมีคนคงรู้อยู่แล้วว่ามีทั้งเกียร์ธรรมดาและเกียร์ออโต้ แต่ถ้าหากเจาะลึกไปที่ “ เกียร์ B ” ต้องมีคนคิ้วผูกกันเป็นโบว์แน่นอน และตามมาด้วยคำถามมากมาย เช่น เกียร์ B คืออะไร, เกียร์ B ใช้ตอนไหน ฯลฯ มิสเตอร์ คุ้มค่า รวบรวมคำตอบมาให้เรียบร้อยแล้ว ตามไปทำความเข้าใจพร้อม ๆ กันเลย
รู้จักกันหน่อย เกียร์ B คืออะไร ?
สำหรับคนที่กำลังสงสัย และพยายามหาคำตอบว่าเกียร์ B คืออะไร บอกไว้ก่อนเลยว่าเป็นฟังก์ชันพิเศษที่ส่วนใหญ่พบในรถยนต์ไฮบริด ซึ่ง b ย่อมาจากคำว่า brake หรือเกียร์เบรก มีหน้าที่ในการเพิ่มแรงหน่วงหรือช่วยเบรกรถยนต์ให้ช้าลง โดยไม่ต้องใช้เบรกเท้าบ่อย ๆ ช่วยให้การขับขี่เป็นไปอย่างราบรื่น ไม่ว่าจะขับขี่ในเมือง หรือการขับรถลงทางลาดชัน นับเป็นฟังก์ชันที่ช่วยเพิ่มความสะดวกสบายได้มากขึ้นนั่นเอง
การทำงานของเกียร์ B
หลังจากที่ได้รู้ไปแล้วว่าเกียร์ B คืออะไร ? เรามาต่อกันที่หลักการทำงานกันดีกว่า เมื่อเลื่อนคันเกียร์เข้าสู่ตำแหน่ง B มอเตอร์ไฟฟ้าในระบบไฮบริด จะทำงานร่วมกับระบบเบรก ทำให้เกิดแรงต้านในการหมุนของล้อ ทำให้รถช้าลงอย่างนุ่มนวล โดยที่ผู้ขับขี่ไม่ต้องเหยียบเบรกบ่อย ๆ นอกจากนี้เกียร์ B ยังช่วยในการชาร์จแบตเตอรี่ในตัวรถไปในตัวด้วย เนื่องจากมอเตอร์ไฟฟ้าที่ทำงานเป็นตัวสร้างกระแสไฟฟ้ากลับเข้าสู่แบตเตอรี่
พาหาคำตอบเกียร์ B ใช้งานตอนไหน ?
อีกหนึ่งประเด็นที่หลายคนเกิดความสงสัย คือ เกียร์ B ใช้ตอนไหน หลัก ๆ แล้วสามารถใช้ได้ใน 5 กรณี โดยมีรายละเอียดดังนี้
1. ชะลอความเร็วโดยไม่ใช้เบรก
กรณีที่ต้องการชะลอความเร็วในระยะทางยาว เช่น การขับขี่บนถนนที่มีความเร็วสูง (ทางด่วน) และต้องการลดความเร็วลง เกียร์ B จะช่วยชะลอความเร็วได้อย่างนุ่มนวล
2. ควบคุมความเร็ว
ในบางสถานการณ์ เช่น การขับขี่ในเส้นทางคดโค้งหรือโค้งหักศอก การใช้เกียร์ B จะช่วยให้ผู้ขับขี่ควบคุมความเร็วได้ดีขึ้น โดยไม่ต้องใช้เบรกหนัก ๆ
3. การจราจรหนาแน่น
ถ้าต้องขับรถในสภาพการจราจรที่ค่อนข้างหนาแน่น ติดขัด ต้องหยุดและเคลื่อนตัวอยู่บ่อย ๆ เกียร์ B จะช่วยให้รถชะลอความเร็ว เมื่อยกเท้าออกจากแป้นคันเร่งได้ โดยที่ไม่ต้องเหยียบเบรก แถมยังช่วยลดความเมื่อยล้าจากการขับขี่ลงได้อีกด้วย
4. การประหยัดพลังงาน
อีกหนึ่งประเด็นที่น่าสนใจของเกียร์ B คือ สามารถช่วยสร้างพลังงานกลับคืน (Regenerative Breking) ได้ ซึ่งสามารถนำพลังงานมาเก็บไว้ในแบตเตอรี่ได้อีกด้วย ทำให้รถยนต์สามารถดึงใช้พลังงานที่สร้างขึ้นใหม่ นำมาใช้ในการขับขี่ได้เรื่อย ๆ ช่วยประหยัดพลังงานและเพิ่มระยะทางในการขับขี่ได้
5. ขับขี่ลงทางลาดชัน
หากคุณเป็นอีกหนึ่งคนที่เคยตั้งคำถามในประเด็นขับรถลงเขา ใช้เกียร์อะไร จริง ๆ แล้วเกียร์ B ก็ใช้ได้ เพราะจะช่วยให้รถชะลอความเร็วลง โดยไม่ต้องพึ่งพาการทำงานของเบรกมากเกินไป ช่วยลดความร้อนและการสึกหรอของผ้าเบรกได้เช่นกัน
แม้ว่าเกียร์ B จะเป็นฟังก์ชันเด็ด ที่ช่วยเพิ่มความสะดวกสบาย และเพิ่มความปลอดภัยในการใช้รถได้เป็นอย่างดี แต่ขึ้นชื่อว่าอุบัติเหตุก็มีโอกาสเกิดขึ้นได้เสมอ โดยเฉพาะกับมือใหม่หัดขับที่ยังไม่มีความชำนาญเท่าที่ควร แนะนำให้ซื้อประกันรถยนต์ติดรถเอาไว้จะดีที่สุด แต่ถ้าไม่รู้ว่าจะเลือกซื้อกับที่ไหน แผนใด ที่ราคาสบายกระเป๋า เข้ามาเช็คราคาประกันรถยนต์กับ มิสเตอร์ คุ้มค่า ก่อนใครได้เลย
เกียร์ B vs เกียร์ L ต่างกันยังไง ?
เท่าที่อ่านมาถึงตรงนี้หลายคนคงจับสังเกตได้แล้วว่าเกียร์ B และเกียร์ L มีลักษณะการทำงานคล้ายคลึงกัน คือ ทำหน้าที่ในการเพิ่มแรงหน่วง แต่มันก็ยังมีจุดแตกต่างกันอยู่ด้วยเช่นกัน ดังนี้
เกียร์ B
อย่างที่บอกไปก่อนหน้านี้แล้วว่า b ย่อมาจากคำว่า brake ใช้สำหรับชะลอความเร็ว โดยอาศัยมอเตอร์ไฟฟ้าในการสร้างแรงต้าน ทำให้รถยนต์เคลื่อนตัวช้าลง ข้อดีคือการใช้เบรกลดลง แถมยังเป็นการเพิ่มอายุการใช้งานของผ้าเบรก ทำให้ไม่เสื่อมสภาพเร็วกว่าที่ควรจะเป็น
เกียร์ L
L ย่อมาจากคำว่า Low เป็นเกียร์ต่ำสุด ใช้ในการขึ้นเนินลาดชันค่อนข้างมาก หรือใช้ลากจูงวัตถุต่าง ๆ ที่มีน้ำหนัก โดยจะเพิ่มแรงบิดของเครื่องยนต์ ทำให้รถมีความสามารถในการปีนป่ายขึ้นเนินลาดชันสูงได้เป็นอย่างดี
เจาะลึกประเด็นขึ้นเขา ลงเขา ใช้เกียร์อะไร ?
ไม่ต้องบอกก็รู้ว่าการขับรถขึ้น-ลงเขา เป็นเรื่องยากสำหรับมือใหม่หัดขับ หลาย ๆ คน รวมถึงคนที่ไม่ค่อยชำนาญในการขับขี่ นาน ๆ ขับรถที และเชื่อว่าคงเกิดคำถามอยู่ไม่น้อยว่าขับรถขึ้นเขา ใช้เกียร์อะไรและต้องขับขี่ยังไงให้ปลอดภัย ถ้าอย่างนั้นตามไปหาคำตอบพร้อม ๆ กันเลยดีกว่า
รถเกียร์ธรรมดาขึ้นเขา ลงเขา ใช้เกียร์อะไร ?
สำหรับรถเกียร์ธรรมดาหรือที่เรียกกันจนคุ้นปากว่า “รถเกียร์กระปุก” คือ รถยนต์ที่ผู้ขับขี่ต้องจัดการทุกอย่างเอง เช่น เข้าเกียร์, เปลี่ยนเกียร์ หรือปล่อยคลัตช์ให้เหมาะกับการขับขี่ในสถานการณ์ต่าง ๆ แล้วถ้าจะขับรถขึ้น-ลงเขาควรใช้เกียร์อะไร ตามไปดูกัน
ขึ้นเขาใช้เกียร์อะไร
ถ้าคุณเป็นมือใหม่หัดขับที่ไม่เคยขับรถขึ้นดอย ขึ้นเขามาก่อน อาจคาดคะเนไม่ถูกว่าทางขึ้นเขาจะมีความชันมากแค่ไหน ให้รู้เอาไว้เลยว่าถ้าต้องขับรถขึ้นเขาความเร็วรถยนต์จะลดลง ควรเปลี่ยนเป็นเกียร์ต่ำจะดีที่สุด แต่ถ้ายังสงสัยว่าขับรถขึ้นเขา ใช้เกียร์อะไรดีที่สุด คำตอบคือเกียร์ 1 หรือเกียร์ 2 เพราะถ้าใช้เกียร์สูงมากกว่านี้ เครื่องยนต์จะไม่มีพลังมากพอในการฉุดรถขึ้นเขาได้
ขับขึ้นเขาแล้วต้องหยุดระหว่างทาง
ในขณะที่ขับรถขึ้นเขา แล้วมีความจำเป็นต้องหยุดรถ หากจะเริ่มเดินทางต่ออีกครั้งให้สตาร์ทรถแล้วเข้าเกียร์ 1 พร้อมปลดเบรกมือควบคู่กัน เพราะจะช่วยให้รถไม่ไหลเวลาที่ถอนเท้าออกจากคลัตช์
ขับรถลงเขา ใช้เกียร์อะไร
หากกำลังสงสัยว่าขับรถลงเขา ใช้เกียร์อะไร คำตอบ คือ เกียร์ 1 หรือเกียร์ 2 เช่นเดียวกัน จริง ๆ จะปล่อยให้ไหลด้วยเกียร์ว่างก็ได้ เนื่องจากเป็นทางลาดลงเหมือนสไลด์เดอร์ แต่อย่าลืมว่าอุบัติเหตุสามารถเกิดขึ้นได้เสมอ เข้าเกียร์และเตรียมตัวให้พร้อมจะดีกว่า
ขับรถขึ้นเขา-ลงเขาอย่างปลอดภัย ที่มือใหม่หัดขับต้องรู้
เพื่อให้มือใหม่หัดขับขับรถขึ้น-ลงเขาได้อย่างปลอดภัย ไม่ว่าจะเป็นเกียร์กระปุกหรือเกียร์ Auto เราจึงได้ลิสต์เทคนิคการขับขี่อย่างมืออาชีพมาบอกต่อ จนหมดคำถามไปเลยว่าขับรถขึ้นเขา ใช้เกียร์อะไร หรือขับรถลงเขา ใช้เกียร์อะไร
ความเร็วที่ไม่ให้ขับรถหลุดโค้ง
ด้วยความที่ทางขึ้นเขาส่วนใหญ่เป็นเส้นทางที่ชันมาก ๆ ทำให้ต้องรักษาระดับความเร็วอยู่ที่ 50-80 กิโลเมตรต่อชั่วโมง เพราะถ้าขับเร็วเกินไปจะทำให้สูญเสียการบังคับรถ เหยียบเบรกได้ยาก และก่อให้เกิดอุบัติเหตุรถชน หรือขับรถตกเขาได้
ความเร็วในการขับรถขึ้นเขา
เมื่อต้องขับรถขึ้นเขา ไม่ว่าจะความชันจะมากหรือน้อย ควรหมั่นเหยียบเบรครถยนต์เป็นระยะ เพราะถ้าเหยียบค้างยาว ๆ จะทำให้เบรกไหม้หรือเบรกแตกได้ และควรรักษาระดับความเร็วให้คงที่ประมาณ 30-50 กิโลเมตรต่อชั่วโมง
ความเร็วในการขับรถลงเขา
แค่ทางโค้งหรือโค้งหักศอกบนถนนทางหลวงก็ว่าน่ากลัวแล้ว แต่ถ้าต้องเข้าโค้งเมื่อขับรถขึ้น-ลงเขา รับรองมือใหม่หัดขับเหงื่อแตกเป็นสายแน่ เพราะถ้าหลุดโค้งขึ้นมา จะทำให้ร่างกายและทรัพย์สินเสียหายได้ ดังนั้นควรลดความเร็วให้อยู่ที่ 40-50 กิโลเมตรต่อชั่วโมงจะดีกว่า
ปล่อยเกียร์ว่างทำให้รถไหล
ปกติแล้วหากเป็นการจอดรถซ้อนคันในลานจอดรถ หลายคนมักใช้เกียร์ว่างหรือเกียร์ N เพื่อให้ง่ายต่อการเคลื่อนย้าย แต่ถ้าเป็นการขับรถขึ้น-ลงเขา ไม่ควรใช้เกียร์ดังกล่าวเด็ดขาด เพราะจะทำให้รถไหลด้วยความเร็วสูง ควบคุมหรือใช้เบรกได้ยาก ก่อให้เกิดอุบัติเหตุรถชนได้
เกียร์ออโต้ ถ้าอยากขึ้นเขาใช้เกียร์อะไรดี ?
ในส่วนของเกียร์ออโต้หรือ Automatic เป็นเกียร์รถยนต์ที่ทำให้ผู้ขับขี่ขับรถได้ง่ายขึ้น หากขับในเมืองแค่ใช้เกียร์ D ก็ใช้งานได้แล้ว แต่ถ้าเป็นการขับรถเกียร์ออโต้ขึ้นเขาบอกเลยว่าคนละเรื่อง
รถเกียร์ออโต้ขึ้นเขา ลงเขา ใช้เกียร์อะไร
ก่อนอื่นต้องดู ‘ความชัน’ ของเส้นทางให้ดีก่อนว่าชันมากหรือชันน้อย หากขับเกียร์ D แล้วเครื่องยนต์เร่งไม่ขึ้น ให้เปลี่ยนมาใช้เกียร์ D1-D2 เพื่อให้รถขับเคลื่อนไปได้ และหาความเร็วที่เหมาะสมเพื่อควบคุมรถ
เกียร์ออโต้ลงเขา ใช้เกียร์อะไร
หากสงสัยว่าเกียร์ออโต้ลงเขา ใช้เกียร์อะไร คำตอบคือเหมือนกับเกียร์กระปุกเลย “ห้ามใส่เกียร์ว่าง หรือเกียร์ N” เพราะจะทำให้รถไหลแล้วเสียการควบคุม ทางที่ดีควรเปลี่ยนเป็นเกียร์ D1-D2 เพื่อรักษาความเร็วของรถให้เสถียร รถจะวิ่งหน่วง ๆ และช้าลง ทำให้คุณขับรถได้อย่างปลอดภัย ที่สำคัญต้องไม่เหยียบคันเร่งหรือเหยียบเบรกยาว ๆ เด็ดขาด
ปฏิเสธไม่ได้เลยว่าเกียร์ B เป็นหนึ่งในฟังก์ชันที่น่าสนใจ และมีประโยชน์มาก ๆ สำหรับรถยนต์ไฮบริด เพราะช่วยให้มือใหม่หัดขับขับขี่ได้อย่างสะดวกสบาย และปลอดภัยมากขึ้นกว่าเดิม โดยเฉพาะในสถานการณ์ที่ต้องเบรกรถบ่อย ๆ ดังนั้นการเข้ามาทำความเข้าใจว่าเกียร์ B คืออะไร และเกียร์ B ใช้ตอนไหน จะช่วยให้สามารถใช้งานรถยนต์ได้อย่างคุ้มค่า และมีประสิทธิภาพขึ้น
คำจำกัดความ
แรงหน่วง | แรงที่ต้านการเคลื่อนที่ของวัตถุ หากต้องการเคลื่อนที่ไปในทิศทางต่างๆ ต้องมีแรงมากพอที่จะเอาชนะแรงนี้ได้ |
แรงต้าน | แรงที่มีทิศทางต่อต้านการเคลื่อนที่หรือทิศทางตรงข้ามกับแรงที่พยายามจะทำให้วัตถุเกิดการเคลื่อนที่ |
พลังงานกลับคืน | พลังงานที่ใช้แล้วไม่หมดไป สามารถนำกลับมาใช้ใหม่ได้ |
คาดคะเน | กะ, ประมาณ, เดา |