รู้ไว้ใช่ว่า ตัวย่อระบบขับขี่ปลอดภัย ที่คนมีรถไม่ควรมองข้าม

แชร์ต่อ
รู้ไว้ใช่ว่า ตัวย่อระบบขับขี่ปลอดภัย ที่คนมีรถไม่ควรมองข้าม | มิสเตอร์ คุ้มค่า

รถยนต์รุ่นใหม่ ๆ ช่วยเสริมสร้างการขับขี่ปลอดภัยได้ค่อนข้างมาก เพราะมาพร้อมกับระบบความปลอดภัยแบบจัดเต็ม ซึ่งเป็นเรื่องสำคัญที่คนมีรถจำเป็นต้องทำความเข้าใจ เพราะระบบรักษาความปลอดภัยต่าง ๆ มาพร้อมกับตัวย่อเต็มไปหมด ซึ่งจะมีความหมายว่าอะไร ใช้งานยังไงบ้าง ตาม มิสเตอร์ คุ้มค่า ไปหาคำตอบพร้อม ๆ กันเลยดีกว่า

ระบบความปลอดภัยรถยนต์มีอะไรบ้าง

ระบบความปลอดภัยรถยนต์์ มีอะไรบ้าง ? | มิสเตอร์ คุ้มค่า

ปฏิเสธไม่ได้เลยว่าระบบความปลอดภัยในรถยนต์ เป็นตัวช่วยในการป้องกัน หรือลดความเสียหายรุนแรงจากเหตุการณ์ไม่คาดฝันได้เป็นอย่างดี โดยเฉพาะอุบัติเหตุต่าง ๆ บนท้องถนน ซึ่งระบบรักษาความปลอดภัยที่เรานำมาบอกต่อ มีรายละเอียดดังต่อไปนี้

  • 1. ระบบช่วยเตือนจุดอับสายตา : BSM

    ย่อมาจากคำว่า Blind Spot Monitoring เป็นระบบความปลอดภัยที่สำคัญ ทำงานด้วยระบบเซนเซอร์ ช่วยตรวจสอบสิ่งที่อยู่นอกเหนือขอบเขตของสายตา และทำงานร่วมกับเรดาร์ สามารถใช้ในการตรวจจับสิ่งกีดขวาง นอกจากนี้ยังทำงานร่วมกับกล้องหน้ารถ หรือกล้องหลังรถ รวมถึงระบบการมองรอบคัน

    หากเซนเซอร์ตรวจเจอสิ่งกีดขวาง ตัวคลื่นจะส่งสัญญาณเตือนไปยังผู้ขับขี่เป็นแสงไฟกะพริบสีส้มบริเวณกระจกมองข้าง พร้อมกับส่งเสียงเตือนเมื่อผู้ขับขี่เปิดไฟเลี้ยวทางฝั่งที่มีสิ่งกีดขวาง

  • 2. ระบบถุงลมนิรภัย : SRS

    Supplemental Restrain System หรือที่หลายคนนิยมเรียกกันสั้น ๆ ว่า Air bag ช่วยหลีกเลี่ยงอุบัติเหตุร้ายแรงได้เป็นอย่างดี โดยถุงลมนิรภัยในปัจจุบันได้มีการปรับเปลี่ยนใหม่ ด้วยการเพิ่มถุงลมนิรภัยไว้ด้านข้าง เพื่อช่วยป้องกันอุบัติเหตุรอบคัน และช่วยป้องกันอาการบาดเจ็บของผู้ขับขี่ และผู้โดยสารเมื่อประสบอุบัติเหตุบนท้องถนน

  • 3. ระบบควบคุมเสถียรภาพการทรงตัวของรถยนต์ : ESC

    Electronic Stability Control มีหน้าที่ในการช่วยป้องกันการลื่นไหล และช่วยควบคุมการทรงตัวในขณะขับขี่ ซึ่งทำงานร่วมกับระบบ ABS โดยทำงานผ่านระบบเซนเซอร์ ตรวจจับการไหล ถือเป็นระบบรักษาความปลอดภัยที่สำคัญมาก ๆ แถมยังเป็นระบบพื้นฐานของรถยนต์ที่ควรมี และควรตรวจเช็กอยู่เสมอ

  • 4. ระบบตัดกำลังเครื่องยนต์ : PMM

    Pedal Misapplication Mitigation ช่วยตัดกำลังเครื่องยนต์ชั่วขณะ เมื่อผู้ขับขี่เหยียบคันเร่งอย่างรุนแรงและรวดเร็ว โดยจะทำงานเฉพาะการเคลื่อนรถไปข้างหน้าเท่านั้น ระบบจะทำการตรวจสอบวัตถุด้านหน้า หากมีการเหยียบคันเร่งผิดพลาด ระบบจะเตือนและตัดกำลังเครื่องยนต์ชั่วขณะอัตโนมัติ เพื่อให้ผู้ขับขี่สามารถเบรกรถได้ทัน

  • 5. ระบบเบรกฉุกเฉินอัตโนมัติ : ABS

    Anti-Lock Brake System ช่วยหลีกเลี่ยงการชน รวมถึงลดความรุนแรงเมื่อเกิดการชนด้านหน้าได้อย่างมีประสิทธิภาพ สามารถตอบสนองอันตรายในรูปแบบต่าง ๆ โดยผสมผสานการทำงานกับกล้องและเรดาร์แบบคลื่นมิลิเมตร และเป็นระบบการเบรกปลอดภัย ที่สร้างขึ้นเพื่อป้องกันการเบรกจนล้อล็อก ทำให้รถเสียหลักหรือไถลจนคุมทิศทางไม่ได้

  • 6. ระบบป้องกันล้อหมุนฟรี : TRC

    Traction Control System ช่วยให้ผู้ขับขี่สามารถควบคุมรถได้ง่ายขึ้น ไม่ว่าจะเป็นการออกตัว, เข้าโค้ง หรือต้องขับขี่บนถนนเปียก ซึ่งการที่ความเร็วของทุกล้อสัมพันธ์กัน จะช่วยป้องกันอาการรถปัดหรือส่ายขณะออกตัว หรือขณะเสียการทรงตัวได้เป็นอย่างดี นอกจากนี้ยังช่วยให้สามารถประคองตัวกลับมาควบคุมได้ง่ายขึ้น

    การทำงานของระบบนี้ จะเกิดขึ้นก็ต่อเมื่อระบบเซนเซอร์จับได้ว่าล้อใดล้อหนึ่งกำลังฟรีจากการลื่น ระบบจะตัดกำลังเครื่องยนต์หรือเบรกล้อข้างนั้นทันที

  • 7. เทคโนโลยีกล้องมองภาพรอบทิศทาง : IAVM

    Intelligent Around View Monitoring ช่วยอำนวยความสะดวกสบาย และมีประโยชน์ในการขับขี่เป็นอย่างมาก นอกจากนี้ยังช่วยให้ผู้ขับขี่มองเห็นทัศนวิสัยภายนอกได้ 360 องศา รวมถึงมีประโยชน์มาก ๆ ในการจอดรถ โดยเฉพาะการถอยจอด ช่วยให้มือใหม่หัดขับหรือคนที่ยังไม่มีความชำนาญ หลบหลีกสิ่งกีดขวางได้ดีขึ้น แถมยังช่วยสร้างความมั่นใจในการขับขี่อีกด้วย

แม้ว่าคุณจะขับขี่ปลอดภัย ระมัดระวัง มีสติอยู่เสมอ พร้อมกับติดตั้งระบบความปลอดภัยพื้นฐานอย่างครบครัน แต่ก็มีโอกาสเกิดอุบัติเหตุบนท้องถนนได้ง่าย หากต้องการขับขี่อย่างอุ่นใจตลอดการเดินทาง การเลือกซื้อประกันรถยนต์ที่คุ้มครองครอบคลุม ก็เป็นหนึ่งในตัวช่วยที่ดีเช่นกัน ถ้าไม่รู้ว่าจะต้องเลือกซื้อแบบไหน ที่ให้ความคุ้มครองครบทุกด้าน แถมราคาสบายกระเป๋า เข้ามาเปรียบเทียบประกันรถยนต์ออนไลน์กับ มิสเตอร์ คุ้มค่า ก่อนตัดสินใจได้เลย

เทคโนโลยี และระบบความปลอดภัยของรถยนต์ไฟฟ้า มีอะไรบ้าง ?

กรมการขนส่งทางบก เปิดเผยข้อมูลรถยนต์ไฟฟ้าจดทะเบียนใหม่ (ป้ายแดง) ในประเทศไทย โดยรวบรวมสถิติ 9 เดือนแรกของปี 2567 พบว่ามีรถอีวีป้ายแดงรวม 52,443 คัน หากเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน มีจำนวน 49,997 คัน เพิ่มขึ้น 4.89% โดยในจำนวนนี้พบว่ายานยนต์ไฟฟ้าไฮบริด (Hybrid Electric Vehicle, HEV) ได้รับความนิยมสูงสุดเป็นอันดับ 1 มีสถิติจดทะเบียนในไทยรอบ 9 เดือนที่ผ่านมารวมกว่า 104,197 คัน เพิ่มขึ้นจาก 65,423 คันในปีก่อน (ที่มา : https://www.bangkokbiznews.com/business/economic/1150651)

ด้วยความที่ในปัจจุบันมีคนใช้งานรถไฟฟ้า EV เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง หากคุณเป็นอีกหนึ่งคนที่สนใจรถยนต์ประเภทนี้ ต้องรู้จักเทคโนโลยีและระบบความปลอดภัยของรถไฟฟ้ากันสักหน่อย เพื่อช่วยให้ตัดสินใจเลือกซื้อรถได้ง่ายขึ้น

  • 1. โครงสร้างตัวถังที่แข็งแรง

    ปฏิเสธไม่ได้เลยว่ารถยนต์ไฟฟ้า มีการออกแบบโครงสร้างตัวถังที่แข็งแรง เพื่อปกป้องผู้โดยสารจากแรงกระแทก ในกรณีที่เกิดอุบัติเหตุบนท้องถนน ด้วยการเลือกใช้วัสดุเป็นเหล็กที่มีความแข็งแรงสูงและอะลูมิเนียม เพื่อลดน้ำหนักของรถ

  • 2. การทดสอบความปลอดภัย

    ก่อนที่จะรถยนต์ไฟฟ้าทุกคันจะเปิดตัว และวางจำหน่ายอย่างเป็นทางการ ต้องผ่านการทดสอบความปลอดภัยที่เข้มงวดตามมาตรฐานสากล เช่น การทดสอบการชนหน้า, การชนด้านข้าง และการพลิกคว่ำ ซึ่งการทดสอบเหล่านี้ ช่วยให้มั่นใจได้ว่ารถยนต์ไฟฟ้ามีความปลอดภัยในทุก ๆ สถานการณ์

  • 3. การจัดเก็บ และจัดการพลังงานไฟฟ้าในระบบแบตเตอรี่

    ต้องบอกก่อนว่ารถยนต์ไฟฟ้าถูกออกแบบให้มีระบบจัดเก็บ และจัดการพลังงานไฟฟ้าในแบตเตอรี่อย่างปลอดภัย มีการใช้งานแบตเตอรี่ลิเธียมไอออน ที่มีการป้องกันความร้อนเกินและการระเบิด นอกจากนี้ยังมีการพัฒนาเทคโนโลยีแบตเตอรี่ ที่มีความทนทานและประสิทธิภาพสูงขึ้น

  • 4. ระบบสัญญาณเตือน และป้องกันอุบัติเหตุ

    รถยนต์ไฟฟ้ามีระบบความปลอดภัยที่ครบถ้วน ดังนี้

    • ระบบเตือนเมื่อมีการชน (Collision Warning System)
    • ระบบควบคุมเสถียรภาพ (Electronic Stability Control)
    • ระบบเบรกฉุกเฉินอัตโนมัติ (Automatic Emergency Braking)

นอกจากนี้ยังมีระบบตรวจจับคนเดินถนนและจักรยาน (Pedestrian and Cyclist Detection) ที่ช่วยลดความเสี่ยงในการเกิดอุบัติเหตุได้อย่างมีประสิทธิภาพอีกด้วย

มาตรฐานความปลอดภัย ด้านไฟฟ้าแรงสูงในรถยนต์ไฟฟ้า

เพื่อเป็นการรับรองว่ารถยนต์ไฟฟ้า (EV) ที่ผลิตออกมามีความปลอดภัยต่อการใช้งาน นอกจากระบบรักษาความปลอดภัยต่าง ๆ แล้ว มาตรฐานความปลอดภัยในด้านระบบไฟฟ้าแรงสูง (High Voltage Safety) ก็มีความสำคัญไม่แพ้กัน โดยมาตรฐานที่เกี่ยวข้องมีทั้งระดับสากล และระดับสหภาพยุโรป ดังนี้

มาตรฐานสากล
  1. ISO (International Organization for Standardization)
    • ISO 6469-3

      มาตรฐานนี้กำหนดข้อกำหนดด้านความปลอดภัยสำหรับระบบไฟฟ้าแรงสูงในรถยนต์ไฟฟ้า เพื่อป้องกันการสัมผัสโดยตรงและโดยอ้อมกับส่วนที่มีไฟฟ้าแรงสูง

    • ISO 17409

      มาตรฐานนี้กำหนดข้อกำหนดด้านความปลอดภัยสำหรับการชาร์จไฟฟ้ารถยนต์ โดยรวมถึงการป้องกันการไฟฟ้าดูดและการตัดไฟเมื่อเกิดความผิดปกติ

  2. IEC (International Electrotechnical Commission)
    • IEC 60664-1

      มาตรฐานนี้เกี่ยวข้องกับการประเมินความทนทานของวัสดุฉนวนไฟฟ้าในระบบไฟฟ้าแรงสูง เพื่อให้แน่ใจว่ามีความทนทานต่อสภาวะการใช้งาน

    • IEC 61851-1

      มาตรฐานนี้กำหนดข้อกำหนดสำหรับอุปกรณ์ชาร์จไฟฟ้าสำหรับรถยนต์ไฟฟ้า โดยเน้นไปที่ความปลอดภัยและประสิทธิภาพของการชาร์จรถยนต์ไฟฟ้า

มาตรฐานสหภาพยุโรป
  • การปรับใช้มาตรฐาน ISO และ IEC ที่เกี่ยวข้อง
  • การกำหนดข้อกำหนดเพิ่มเติม ที่สอดคล้องกับข้อกำหนดของสหภาพยุโรป เพื่อเพิ่มความปลอดภัยในการใช้งานรถยนต์ไฟฟ้า

ขับขี่แบบไหน ลดการเกิดอุบัติเหตุบนท้องถนนได้ดีที่สุด ?

อย่างที่บอกไปก่อนหน้านี้ว่าต่อให้รถยนต์ของคุณมีระบบความปลอดภัยจัดเต็ม ก็ไม่อาจเลี่ยงอุบัติเหตุได้ 100% เพราะอุบัติเหตุสามารถเกิดขึ้นได้จากหลายปัจจัย ถ้าจะให้ดีผู้ขับขี่ควรมีความรู้ และมีวิธีรับมือที่มีประสิทธิภาพ เพื่อลดความเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้นตามมา ดังนี้

  • 1. ขับรถทางไกล

    ในบางครั้งที่จำเป็นต้องขับรถทางไกล เพื่อความปลอดภัยควรตรวจสภาพรถและอุปกรณ์ต่าง ๆ ให้อยู่ในสภาพพร้อมใช้งานอยู่เสมอ รวบรวมเตรียมอุปกรณ์และอะไหล่รถที่จำเป็น ที่สำคัญควรพักผ่อนให้เพียงพอ งดเว้นการดื่มสุราหรือของมึนเมาทุกชนิด

  • 2. ขับรถตอนฝนตก ถนนลื่น

    หากต้องขับรถในช่วงที่ฝนตก ถนนลื่น ให้ชะลอความเร็วรถให้ช้ากว่าปกติ และทิ้งระยะห่างจากคันด้านหน้าให้มากที่สุด ถ้าขับอยู่บนทางที่ให้รถขับสวนกัน ควรเปิดไฟหน้ารถเพื่อเตือนรถที่วิ่งสวนมาด้วย และถ้าต้องการหยุดรถควรใช้เกียร์ช่วย ไม่ควรเหยียบเบรกกะทันหัน หรือหักพวงมาลัยรถอย่างฉับพลัน เพราะอาจทำให้รถปัดหรือหมุนจนเกิดอุบัติเหตุตามมาได้

  • 3. เข้าใจวิธีการใช้ เกียร์ขึ้นเขา - ลงเขา

    การขับขี่รถขึ้นเขาที่ถูกต้อง ปลอดภัย ควรใช่เกียร์ต่ำที่มีกำลังพอ เพราะถ้าหากเครื่องยนต์ไม่มีกำลังมากพอ จะทำให้รถดับและไหล แนะนำให้เหยียบเบรกและใช้เบรกมือช่วย ในตอนที่ขับขี่รถลงเขาก็ควรใช้เกียร์ต่ำด้วยเช่นกัน เพื่อฉุดกำลังไม่ให้รถไหลเร็วเกินไป หรือคอยประคองรถด้วยการเหยียบเบรก ชะลอให้รถช้าพอที่จะบังคับได้

สิ่งที่ควรมีติดรถ เพื่อการขับขี่ที่อุ่นใจ มีอะไรบ้าง ?

นอกจากจะมีทริคในการขับขี่ที่ดี รถยนต์มีระบบความปลอดภัยที่ตอบโจทย์ แต่ก็อย่าเพิ่งวางใจ แนะนำให้เตรียมสิ่งของต่อไปนี้ติดรถไฟด้วย เพื่อความอุ่นใจ ไร้กังวลตลอดการเดินทาง

  • 1. กล้องติดรถยนต์

    หน้าที่ของกล้องติดรถยนต์ คือ คอยบันทึกเหตุการณ์ต่าง ๆ บนท้องถนนในขณะที่ขับขี่อยู่อย่างครบถ้วน แถมยังช่วยเป็นหลักฐานสำคัญในการป้องกันจากสถานการณ์ขัดแย้ง หรืออุบัติเหตุต่าง ๆ ที่ต้องการภาพบันทึก เพื่อยืนยันความถูกต้อง นอกจากนี้ยังใช้เป็นพยานให้กับบุคคลอื่นได้ด้วย

  • 2. ยางอะไหล่สำรอง

    หากต้องเดินทางไปในเส้นทางที่ขรุขระ เป็นหลุม เป็นบ่อ อาจทำให้ยางรถยนต์แตก หรือชำรุดได้ง่าย การมียางอะไหล่สำรองติดรถเอาไว้ จะช่วยให้คุณขับรถต่อไปยังอู่ซ่อมใกล้ ๆ เพื่อให้ช่างที่ชำนาญดำเนินการเปลี่ยนยางใหม่ หรือตรวจเช็กความเสียหายที่เกิดขึ้นได้อย่างตรงจุด

  • 3. ปั๊มลมพกพาสำหรับรถยนต์

    แม้ว่าจะเช็คลมยางรถยนต์ก่อนออกเดินทางมาดีแล้ว แต่ก็มีโอกาสยางรั่วซึมหรือยางแบนได้เสมอ การมีปั๊มลมพกพาจะทำให้สามารถเติมลมยางให้รถวิ่งต่อไปยังปั๊มน้ำมันเพื่อเติมลม หรือไปปะยางที่อู่ซ่อมรถใกล้เคียงได้ ซึ่งช่วยลดการสึกหรอของยางรถยนต์ได้ดีมาก ๆ เลยล่ะ

  • 4. สายพ่วงแบตเตอรี่

    ปกติแล้วแบตเตอรี่รถยนต์จะมีอายุการใช้งาน 2 ปีขึ้นไป แต่ถ้าหากเกิดปัญหารถแบตหมด แบตเสื่อมกลางทาง การมีสายพ่วงแบตเตอรี่ติดรถเอาไว้ถือเป็นเรื่องที่ดี เพียงแค่พ่วงแบตเตอรี่กับรถคันที่ปกติ ก็ช่วยให้คุณขับรถไปยังอู่ซ่อมใกล้ฉัน เพื่อเปลี่ยนแบตได้โดยไม่ต้องติดแหง็กอยู่กับที่เป็นเวลานาน

  • 5. ที่ทุบกระจก และอุปกรณ์ตัดเข็มขัดนิรภัย

    ถือว่าเป็นอุปกรณ์ที่มีประโยชน์มาก ๆ เพราะถ้าหากพบเจอกับสถานการณ์ฉุกเฉิน เช่น ไฟไหม้รถ รถตกน้ำ ไม่สามารถเปิดประตูออกจากรถได้ สามารถใช้เป็นอุปกรณ์ช่วยชีวิตได้เลย

เพื่อการขับขี่ปลอดภัย นอกจากจะติดตั้งระบบความปลอดภัยพื้นฐาน หรือเลือกซื้อรถที่มีระบบรักษาความปลอดภัยครบครันมาจากโรงงานอยู่แล้ว ถือเป็นเรื่องที่ดีมาก ๆ แต่ก็ไม่ควรชะล่าใจจนเกินไป ทุก ๆ ครั้งที่ขับขี่รถ ไม่ว่าจะระยะทางใกล้หรือไกลควรมีสติ และขับขี่ด้วยความระมัดระวัง เพื่อป้องกันความเสี่ยงต่าง ๆ ที่อาจเกิดขึ้นตามมา

คำจำกัดความ
​​คลื่นมิลิเมตร ​ความถี่ของไฟฟ้าแม่เหล็กระหว่างไมโครเวฟและอินฟราเรด
​ยานยนต์ ​รถยนต์ ซึ่งเป็นพาหนะสำหรับเดินทาง และขนส่งสินค้าทางบก
​รับรอง ​รับประกัน​

เปรียบเทียบราคา หรือ ต้องการรายละเอียดเพิ่มเติม เจ้าหน้าที่เราพร้อมให้บริการ

บทความที่น่าสนใจ

เพราะเรารู้ว่าคุณรู้สึกสับสนและมึนหัวเพียงใด ในตอนที่ต้องเลือกผลิตภัณฑ์ที่ใช่