5 พฤติกรรมเสี่ยงที่ส่งผลต่อการเกิดอุบัติเหตุรถชน ที่ไม่ควรทำขณะขับรถ

แชร์ต่อ
5 พฤติกรรมเสี่ยงที่ส่งผลต่อการเกิดอุบัติเหตุรถชน ที่ไม่ควรทำขณะขับรถ | มิสเตอร์ คุ้มค่า

หลายคนอาจไม่รู้ตัวว่า “พฤติกรรมการขับขี่” ของตัวเองนั้น “เสี่ยง” ต่อการเกิดอุบัติเหตุรถชน ขับรถตกไหล่ทาง หรือรถคว่ำเอาง่าย ๆ และเพื่อไม่ให้เกิดเหตุการณ์แบบนั้นขึ้น บางครั้งแค่ไม่ขับรถเร็วอาจไม่พอ ต้องเพิ่มความระมัดระวังในจังหวะขับขี่ เลี่ยงพฤติกรรมเสี่ยงต่าง ๆ ที่ทำให้เกิดเหตุร้ายบนท้องถนน ตามมิสเตอร์ คุ้มค่า ไปดูกันว่ามีพฤติกรรมไหนบ้างเพื่อคุณจะได้เพิ่มความระมัดระวังในการใช้ถนนมากกว่าเดิม

พฤติกรรมเสี่ยงเกิดอุบัติเหตุรถชน มีอะไรบ้าง ?

​​พฤติกรรมเสี่ยงเกิดอุบัติเหตุรถชน มีอะไรบ้าง ?​ | มิสเตอร์ คุ้มค่า

ย้ำก่อนว่าสิ่งสำคัญเป็นอันดับแรก ๆ ในการใช้รถใช้ถนน คือ “ความระมัดระวัง” หากคุณกังวลว่าตัวเองเผลอทำพฤติกรรมเสี่ยง ที่อาจทำให้เกิดเหตุการณ์รถตกไหล่ทาง รถคว่ำ และรถชน เราไปเช็คพฤติกรรมเสี่ยงที่ควรเลี่ยงกันก่อนเลยดีกว่า

  • 1. เล่นโทรศัพท์มือถือ

    ในปัจจุบันโทรศัพท์มือถือถือเป็นปัจจัยที่ 5 ที่หลาย ๆ คนขาดไม่ได้ ไม่ว่าจะทำงาน สั่งซื้อของออนไลน์ แต่ไม่ว่าคุณจะมีเหตุผลร้อยแปดใด ๆ ก็ตาม การใช้โทรศัพท์ระหว่างขับรถ ถือเป็นพฤติกรรมเสี่ยง เนื่องจากสมาธิที่ควรจดจ่ออยู่กับการขับรถ กลับไปโฟกัสที่โทรศัพท์มือถือแทน

    นอกจากนี้จะเสี่ยงต่อการเกิดอุบัติเหตุบนท้องถนนแล้ว ยังมีความผิดตามพระราชบัญญัติจราจรทางบก พ.ศ.2522 ที่ระบุเอาไว้ว่า “หากฝ่าฝืนใช้โทรศัพท์มือถือระหว่างขับขี่ จะมีโทษปรับ 400-1,000 บาท”

  • 2. ฝ่าฝืนกฎจราจร

    “กฎจราจร” คือ กฎหมายที่บัญญัติขึ้นเพื่อควบคุมการใช้ถนนของผู้ขับขี่ทุกคน เพราะฉะนั้นจึงมีความสำคัญมาก ๆ หากฝ่าฝืน ไม่ปฏิบัติตาม นอกจากจะเสี่ยงต่อการเกิดอุบัติเหตุรถชนแล้ว ยังเสี่ยงต่อการได้รับโทษด้วย เช่น ขับรถเร็วเกินกําหนด โทษปรับสูงสุด 4,000 บาท และโดนตัดคะแนนความประพฤติทันที 1 คะแนน เป็นต้น

  • 3. เปลี่ยนเลนกะทันหัน

    หากคุณขับขี่มาด้วยความเร็วแล้วเปลี่ยนเลนกะทันหัน หรือที่คุ้นเคยกันดีในคำว่า “ปาดหน้า” รถคันอื่นที่สัญจรอยู่บนถนน นอกจากจะทำให้เสี่ยงต่อการเกิดอุบัติเหตุ เนื่องจากรถคันหลังหยุดรถไม่ทันแล้ว ยังอาจเกิดความสูญเสียตามมาได้เลย

  • 4. ขับรถตอนง่วงนอน

    หลายคนมักชอบพูดติดปากว่า “นอนน้อย แต่นอนนะ” ซึ่งหากเป็นการขับรถล่ะก็ การอดนอนไม่กี่ชั่วโมงหรือการพักผ่อนไม่เพียงพอ เสี่ยงต่อการหลับในได้เลย หากรู้สึกว่าไม่ไหว อ่อนเพลีย ง่วง ห้ามขับรถเด็ดขาด

  • 5. เปิดไฟสูงเมื่อมีรถคันอื่นขับสวนมา

    การเปิดไฟตัดหมอก เปิดไฟสูงในสถานการณ์ที่ไม่เหมาะสม ถือเป็นหนึ่งในพฤติกรรมเสี่ยงที่ควรเลี่ยง เนื่องจากเป็นการรบกวนทัศนวิสัย และการมองเห็นของรถคันอื่น ๆ ที่ขับสวนมา แนะนำว่าควรเปิดเท่าที่จำเป็น เช่น วันที่ฝนตกหนัก หรือหมอกลงหนา เป็นต้น

ไม่ว่าคุณจะเผลอทำพฤติกรรมเสี่ยงใด ๆ ก็ตาม เพียงเวลาแค่เสี้ยววินาทีก็สามารถเกิดอุบัติเหตุรถชน รถคว่ำ รถตกไหล่ทาง และอุบัติเหตุอื่น ๆ ได้ทั้งนั้น คงจะดีไม่ใช่น้อยหากมี “ประกันภัยรถยนต์” ที่ให้ความคุ้มครองตอบโจทย์ ไม่ว่าจะเดินทางไปไหนก็อุ่นใจ เบี้ยประกันรถยนต์ที่ใช่ แผนประกันที่ชอบได้แล้ววันนี้ ที่เว็บไซต์ MrKumka.com เรายินดีมอบสิ่งที่ดีที่สุดให้คุณตลอดการเดินทาง

รถชน ไม่มีใบขับขี่เคลมประกันรถยนต์ได้ไหม ?

สงสัยไหมว่า ? กรณีที่ประสบอุบัติเหตุรถชน รถคว่ำ รถตกไหล่ทาง แต่ไม่มีใบขับขี่ แบบนี้ประกันจ่ายไหม ? แจ้งเคลมประกันหรือเรียกค่าสินไหมทดแทน รถชนได้หรือไม่ ? คำตอบคือ “ขึ้นอยู่กับกรณีว่าคุณเป็นฝ่ายถูกหรือฝ่ายผิด” โดยมีรายละเอียดดังนี้

ไม่มีใบขับขี่แต่เป็นฝ่ายถูก

หากรถยนต์ของคุณทำประกันชั้น 1, 2+ หรือ 3+ เอาไว้ จะสามารถเรียกค่าสินไหมทดแทน รถชนหรือแจ้งเคลมได้ตามปกติ ส่วนในเรื่องของกฎหมายกรณีไม่พกใบขับขี่ ไม่ว่ายังไงคุณก็ต้องเป็นฝ่ายรับผิดชอบความผิดที่เกิดขึ้น

ไม่มีใบขับขี่แล้วเป็นฝ่ายผิด

กรณีที่ไม่มีใบขับขี่แล้วยังเป็นฝ่ายผิด คุณก็ยังคงได้รับความคุ้มครองตามเดิม แต่อาจมีรายละเอียดความคุ้มครองที่ต่างออกไป ดังนี้

  • ไม่มีใบขับขี่แต่มาขับรถ ประกันจะไม่รับผิดชอบทุกกรณี
  • มีใบขับขี่แต่ไม่ได้พกติดตัว ประกันจะคุ้มครองความเสียหายครบถ้วน ตามที่ระบุไว้ในกรมธรรม์
  • ถูกยึดใบขับขี่ ก็ยังคงได้รับความคุ้มครองตามเดิม แต่ต้องมีหลักฐานมาแสดงต่อบริษัทว่าถูกยึดใบขับขี่จริง

กฎหมายเมาแล้วขับ 2567 อัปเดตโทษแล้วนะ รู้ยัง ?

นอกจาก “แอลกอฮอล์” จะขึ้นชื่อว่าเป็นน้ำเปลี่ยนนิสัยแล้ว ยังทำให้สติของคุณพร่ามัวได้ด้วยเช่นกัน หากฝืนขับรถแม้จะบอกว่า “ขับได้ ขับไหว” ก็อาจทำให้เกิดเหตุการณ์ไม่คาดฝันได้ แถมในปี 2567 ก็ได้มีการอัปเดตกฎหมายเมาแล้วขับแล้วด้วย โดยมีรายละเอียดที่ควรรู้ดังนี้

เข้าข่ายเมาแล้วขับ ต้องมีปริมาณแอลกอฮอล์ในเลือดเท่าไหร่ ?

เชื่อว่าหลายคงเกิดความสงสัยไม่น้อย ว่าขับรถแอลกอฮอล์ ไม่เกินเท่าไหร่ ถึงไม่เข้าข่าย “เมาแล้วขับ” หรือต้องมีปริมาณแอลกอฮอล์ในเลือดแค่ไหน ถึงต้องโทษเมาแล้วขับ ซึ่งเราได้รวบรวมคำตอบมาให้แล้ว โดยมีรายละเอียดดังนี้

  • แอลกอฮอล์ในเลือด 50 มิลลิกรัมเปอร์เซ็นต์ มีโทษจำคุกไม่เกิน 1 ปี และเสียค่าปรับ 5,000-20,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ รวมถึงถูกพักใบอนุญาตขับรถไม่น้อยกว่า 6 เดือน
  • กรณีขับรถแอลกอฮอล์ ไม่เกิน 20 มิลลิกรัมเปอร์เซ็นต์ หากมีอายุน้อยกว่า 20 ปี มีเพียงใบขับขี่ชั่วคราว หรืออยู่ระหว่างพักใบขับขี่ จะไม่ถือว่าเมาแล้วขับ แต่เป็นการเมาสุราเท่านั้น

โทษเมาแล้วขับ มีอะไรบ้าง ?

นอกจากโทษเมาแล้วขับจำคุกไม่เกิน 1 ปี ปรับ 5,000-20,000 บาท ก็ยังมีโทษอื่น ๆ ตามมาอีกมากมาย หลัก ๆ คือ กรณีไม่ยอมเป่าแอลกอฮอล์ และเป็นเหตุให้ผู้อื่นได้รับอันตรายแก่ร่างกาย ซึ่งทั้ง 2 กรณีมีโทษดังนี้

  • ไม่ยอมเป่าแอลกอฮอล์

    หากไม่ยอมเป่าแอลกอฮอล์ ในทางกฎหมายจะถือว่าเมาแล้วขับทันที โทษจะเหมือนกัน คือ จำคุกไม่เกิน 1 ปี ปรับ 5,000-20,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ และถูกพักใช้ใบอนุญาตขับขี่ไม่น้อยกว่า 6 เดือน

  • เมาแล้วขับ จนเป็นเหตุให้ผู้อื่นได้รับอันตรายแก่ร่างกาย

    กรณีเมาแล้วขับจนทำให้ผู้อื่นได้รับอันตรายต่อร่างกายและจิตใจ มีโทษจำคุกตั้งแต่ 1-5 ปี ปรับ 20,000-100,000 บาท และถูกพักใบอนุญาตขับขี่ไม่ต่ำกว่า 1 ปี หรือเพิกถอนถาวร

ขับรถเร็วเกินกําหนด โทษคืออะไร ?

อีกหนึ่งพฤติกรรมเสี่ยงที่มีความผิดตามกฎหมาย คือ “ขับรถเร็วเกินกฎหมายกำหนด” โดยกฎกระทรวงได้กำหนดความเร็วรถยนต์เอาไว้ดังนี้

  • รถยนต์ 4 ล้อ ใช้ความเร็วได้ไม่เกิน 110 กิโลเมตรต่อชั่วโมง
  • รถยนต์ 4 ล้อ วิ่งบนทางด่วนได้ไม่เกิน 100 กิโลเมตรต่อชั่วโมง
  • รถบรรทุกที่มีน้ำหนักเกิน 2,200 กิโลกรัม, รถบรรทุกคนโดยสารเกิน 15 คน ใช้ความเร็วได้ไม่เกิน 90 กิโลเมตรต่อชั่วโมง
  • รถบรรทุกมากกว่า 2,200 กิโลกรัม หรือรถโดยสารเกิน 15 คน ขับบนทางยกระดับหรือทางด่วนได้ไม่เกิน 80 กิโลเมตรต่อชั่วโมง
  • รถโรงเรียนหรือรถรับส่งนักเรียน ให้ใช้ความเร็วไม่เกิน 90 กิโลเมตรต่อชั่วโมง
  • รถโรงเรียนหรือรถรับส่งนักเรียน ขับบนทางด่วนได้ไม่เกิน 80 กิโลเมตรต่อชั่วโมง
  • รถจูงรถอื่น รถยนต์สี่ล้อเล็ก หรือรถยนต์สามล้อ ให้ใช้ความเร็วไม่เกิน 65 กิโลเมตรต่อชั่วโมง

บอกไว้ตรงนี้เลยว่าข้อกำหนดเกี่ยวกับความเร็วรถยนต์ ที่เรานำมาบอกต่อเมื่อข้างต้น อ้างอิงจากกฎหมายจราจรใหม่ 2567 จึงจำเป็นต้องรู้เอาไว้ เพื่อป้องกันการโดนโทษปรับ จำคุก รวมถึงการโดนตัดแต้มความประพฤติใบขับขี่ จนในท้ายที่สุดอาจถึงขั้นโดนสั่งพักใบอนุญาตขับขี่ได้เลย

แต้มใบขับขี่คืออะไร ? ใช้เกณฑ์การตัดแต้มยังไงบ้าง ?

“แต้มใบขับขี่” คือ คะแนนความประพฤติของผู้ใช้รถใช้ถนนทุกคน ซึ่งเดิมทีจะมี 12 แต้มเท่า ๆ กัน หากพบว่ามีพฤติกรรมเข้าข่าย 20 ฐานความผิด ก็จะถูกตัดแต้มในทันที โดยแบ่งระดับความรุนแรงออกเป็น 4 ระดับ ดังนี้

ตัด 1 คะแนน

ความผิดที่เข้าเกณฑ์การตัดแต้มใบขับขี่ 1 คะแนน ได้แก่

  • ขับรถเร็วเกินกว่ากำหนด
  • ไม่คาดเข็มขัดนิรภัย
  • ไม่สวมหมวกกันน็อค
  • ใช้โทรศัพท์มือถือขณะขับขี่
  • ไม่ติดป้ายภาษี และไม่ชำระค่าปรับที่คงค้าง
  • ขับรถบนทางเดินเท้า
  • ไม่หยุดรถเมื่อมีคนใช้ทางม้าลาย
  • ไม่หลบรถพยาบาลฉุกเฉิน
  • ขับรถโดยประมาท
  • ไม่ติดตั้งป้ายทะเบียนให้ถูกต้อง

ตัด 2 คะแนน

ความผิดที่เข้าเกณฑ์การตัดแต้มใบขับขี่ 2 คะแนน ได้แก่

  • ขับรถฝ่าไฟแดง
  • ขับรถย้อนศร
  • ใช้งานรถในขณะที่ใบอนุญาตถูกยึด หรือถูกพักใช้งาน

ตัด 3 คะแนน

ความผิดที่เข้าเกณฑ์การตัดแต้มใบขับขี่ 3 คะแนน ได้แก่

  • ขับรถในขณะที่หย่อนความสามารถ
  • เกิดอุบัติเหตุรถชนแล้วหนี
  • ขับรถในลักษณะที่ผิดปกติวิสัย

ตัด 4 คะแนน

ความผิดที่เข้าเกณฑ์การตัดแต้มใบขับขี่ 4 คะแนน ได้แก่

  • แข่งรถในพื้นที่ที่ไม่ได้รับอนุญาต
  • ขับรถโดยไม่คำนึงถึงความปลอดภัยต่อผู้ใช้รถ ใช้ถนนคนอื่น
  • เมาแล้วขับ
  • ขับรถในขณะเสพยาเสพติด

แม้จะตัดในเรื่อง “ข้อกฎหมาย” ออกไป แต่พฤติกรรมการขับขี่ที่น่าหวาดเสียว ก็ถือเป็นสิ่งที่ไม่ควรกระทำ เนื่องจากจะทำให้เกิดอุบัติเหตุรถชน รถคว่ำ รถตกไหล่ทาง จนทำให้เกิดความเสียหายและสูญเสียตามมา แนะนำให้ขับรถอย่างมีสติ ไม่ประมาท และปฏิบัติตามกฎจราจรอย่างเคร่งครัด เพื่อป้องกันปัญหาที่อาจตามมากวนใจในภายหลัง

คำจำกัดความ
​​โทษปรับ ​โทษทางอาญาฐานหนึ่ง ซึ่งมีข้อดีในแง่ต้นทุนการบริหารจัดการที่ต่ำกว่าโทษจำคุก คุมประพฤติ และกักบริเวณ
​ต้องโทษ ​ถูกตัดสินให้ลงโทษในคดีอาญา
​หย่อนความสามารถ ​บุคคลที่หย่อนความสามารถเพราะเป็นคนวิกลจริต โดยอาการ วิกลจริตนี้ต้องเป็นถึงขนาดที่ ไม่สามารถจัดกิจการงานของตนเองได้เลย​

เปรียบเทียบราคา หรือ ต้องการรายละเอียดเพิ่มเติม เจ้าหน้าที่เราพร้อมให้บริการ

บทความที่น่าสนใจ

เพราะเรารู้ว่าคุณรู้สึกสับสนและมึนหัวเพียงใด ในตอนที่ต้องเลือกผลิตภัณฑ์ที่ใช่